ราคาบิทคอยน์ปรับตัวลดลงหลุดระดับ 40,000 ดอลลาร์ ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาก่อนจะฟื้นตัวขึ้นมาแตะระดับ 44,000 ดอลลาร์ ได้อีกครั้ง เพราะนักลงทุนจับตาผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่าจะส่งผลต่อราคาบิทคอยน์ หรือไม่ โดยในมุมมองส่วนตัวการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเพิ่มดอกเบี้ย หรือ ลดวงเงินคิวอี ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาบิทคอยน์แต่อย่างไร
เหตุผล คือ บิทคอยน์เป็นสินทรัพย์การลงทุนทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงการลงทุนออกจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ อาจกล่าวได้ว่าผู้ลงทุนหลักในบิทคอยน์ เช่น บริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ ไม่ได้ให้ความสนใจว่าการดำเนินการของธนาคารสหรัฐฯ จะออกมาเป็นอย่างไร เพราะพวกเขามีความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบิทคอยน์อยู่แล้ว
ในส่วนของนักลงทุนบิทคอยน์หน้าใหม่ อาจต้องใช้เวลาศึกษา โดยเฉพาะการจับตามองความเคลื่อนไหว ของประเทศที่อยู่ในสถานะต้องพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเครื่องมือทางการเงิน อย่างประเทศเอลซัลวาดอร์ ซึ่งเป็นประเทศที่ได้เข้าซื้อบิทคอยน์ในช่วงที่ผ่านมาไปแล้ว รวมกว่า 500BTC ประเทศเหล่านี้ต้องการที่จะลดสัดส่วนการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ลง การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของ FED จึงไม่ใช่ปัจจัยหลักที่กลุ่มนักลงทุน หรือประเทศที่พยายามลดการพึ่งพิงดอลลาร์สหรัฐจะให้น้ำหนักมากนัก
ข่าวที่อาจจะสร้างผลกระทบต่อราคาบิทคอยน์ในช่วงหลังจากนี้ไปน่าจะเป็นการเข้ามาควบคุมดูแลสกุลเงินดิจิทัลของสหรัฐฯ มากขึ้น จากท่าทีของประธาน ก.ล.ต. สหรัฐฯ ที่มีแนวความคิดจะเข้ามากำกับดูแลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลมากขึ้น
อย่างไรก็ตามปัจจัยดังกล่าวน่าจะเป็นเพียงแค่ผลกระทบทางจิตวิทยาเท่านั้น ไม่ได้มีผลต่อปัจจัยพื้นฐานของบิทคอยน์แต่อย่างไร เพราะความต้องการบิทคอยน์ได้ถูกกระจายไปทั่วโลกแล้ว แม้สหรัฐฯ จะเป็นตลาดใหญ่แต่ก็ไม่ได้ครองตลาดทั้งหมดของบิทคอยน์
ในแง่ปัจจัยพื้นฐาน ถือได้ว่ายังไม่เห็นปัจจัยลบใด ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อราคาบิทคอยน์ อาจจะมีเพียงแค่ข่าวที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระยะสั้นเท่านั้น อีกทั้งการเติบโตของอุตสาหกรรม DeFi, NFT ตลอดจน Blockchain Games จะเป็นแรงผลักดันตลาดสกุลเงินดิจิทัลให้เติบโตและมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามามากขึ้น
ในแง่ปัจจัยทางเทคนิค ระยะสั้นยังถือว่าบิทคอยน์อยู่ในช่วงปรับฐาน โดยการที่ราคาฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดของปีนี้ ที่ 28,500 ดอลลาร์ ขึ้นมาแตะ 53,000 ดอลลาร์ ถือเป็นการฟื้นตัวในช่วง Corrective Wave ของ Wave ที่ 4 ใหญ่ ที่ทำได้ดีเกินคาดและน่าจะเป็นการจบช่วงฟื้นตัวในขา B และเข้าสู่การปรับฐานในขา C ต่อไป
จากกราฟเทคนิคยังมีโอกาสที่บิทคอยน์จะปรับตัวลงได้ต่อโดยมีแนวรับแรกที่ระดับ 38,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็น Golden Ratio 61.8% ตามแนว Fibonacci แต่ถ้ามีการปรับตัวลงต่อ ก็อาจจะลงมาถึงระดับ 34,000-35,000 ดอลลาร์ และน่าจะจับการพักฐานและเข้าสู่ภาวะขาขึ้นอีกครั้ง
การที่บิทคอยน์ไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่และไม่ต่ำกว่าระดับ 20,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นยอดสูงสุดของ Wave1 ตามทฤษฎี Elliot Wave ถือว่ายังมีโอกาสทำ Wave5 สร้างจุดสูงสุดใหม่เหนือระดับ 65,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมของ Wave3 ใหญ่ แต่ถ้าหลุดต่ำกว่า 20,000 ดอลลาร์ ภาพการทำนิวไฮจะไม่เกิดขึ้น
บทสรุป คือ บิทคอยน์ยังคงมีอนาคตแนวโน้มราคาที่ปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยจะมีข่าวร้ายที่เข้ามากระทบราคาเป็นระยะ ๆ ถ้าหากมองการลงทุนระยะยาว บิทคอยน์ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจเช่นเดิม