ฟันธง! ปัจจัยพื้นฐานหนุนบิทคอยน์ระยะยาวเป็นขาขึ้น
ระวัง! จังหวะขายช่วงสั้นที่ราคา 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ
นักลงทุนรุ่นใหม่ วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานบิทคอยน์ดีขึ้น เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานในช่วงการ Halving รอบก่อน แต่ภาพใหญ่กราฟเทคนิค ราคาบิทคอยน์ยังอยู่ในขาลง ดังนั้น หากระดับราคาขึ้นไปแตะ 45,000-50,000 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นจังหวะปล่อยของ แนะจับตาหากราคาขาลงปรับตัวลงไปลึกกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้นักลงทุนหาจังหวะเก็บของและถือยาว เพราะราคามีโอกาสขึ้นไปแตะจุดสูงสุดใหม่
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า จากการติดตามความเคลื่อนไหวราคาบิทคอยน์ หลังจากการเกิด Halving ทุกครั้ง สถิติราคาจะขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ โดยรอบที่ผ่านมาราคาบิทคอยน์ขึ้นไปแตะระดับ 65,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่หลังจากนั้นราคามีการปรับฐานครั้งใหญ่ ราคาบิทคอยน์ลงมาแตะระดับต่ำสุดที่ 28,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยทุกครั้งที่มีการปรับฐานรอบใหญ่จนราคาตกลงไปถึงจุดต่ำสุด การเคลื่อนไหวของราคาบิทคอยน์ ราคาจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นทุกครั้ง ในรอบ Halving ถัดไป
“มุมมองของผม เชื่อว่าตลาดจะไม่เข้าสู่ภาวะหมียาวนานเหมือนช่วงปี 2018-2019 เนื่องจากตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยภาพรวมมีการเติบโตในเชิงปัจจัยพื้นฐานมาได้ดีมาก ทั้งยังมีเทคโนโลยีการลงทุนที่เกิดใหม่ ไม่ว่าจะเป็น DeFi, NFT ตลอดจนการใช้งานของสินทรัพย์ดิจิทัลที่เข้าสู่ Mass Adoption มากขึ้น จึงประเมินได้ว่าราคาสินทรัพย์ดิจิทัลโดยภาพรวมจะกลับมาเป็นขาขึ้นได้อีกครั้งในไตรมาสสี่ของปีนี้”
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาราคาในส่วนของกราฟเทคนิค โดยภาพใหญ่ราคาบิทคอยน์ยังเป็นขาลง และหากพิจารณาเทคนิคการนับคลื่นแบบ Elliot Wave ในรอบ Corrective Wave หรือ รอบปรับฐาน ตอนนี้บิทคอยน์น่าจะกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวในขา B ซึ่งยังเหลือการปรับฐานลงในขา C อีกรอบ เพื่อที่จะจบการปรับฐานใหญ่ ดังนั้น โอกาสการฟื้นตัวของราคาบิทคอยน์รอบนี้อาจจะขึ้นไปแตะระดับ 45,000 – 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งรอบนี้ราคาปรับฐานลงมาในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมและกินระยะเวลาปรับฐานประมาณสี่เดือนถือว่าสมเหตุสมผล จึงมีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้นอีกครั้ง
“หากการปรับขึ้นของราคาบิทคอยน์ในรอบนี้ไปได้ไม่ไกลมาก ไม่ผ่านระดับ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ มีโอกาสอย่างยิ่งที่ราคาจะลงมาทำจุดต่ำสุดในรอบใหม่ โดยมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นจุดที่เกิดการ Breakout ครั้งใหญ่ และหากราคาลงมาทดสอบระดับแนวรับดังกล่าว การกลับตัวของราคาบิทคอยน์ในรอบหน้าจะสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง”
นายณพวีร์กล่าวเพิ่มเติม ในด้านการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของราคาบิทคอยน์ว่า จากการติดตามข้อมูล ตั้งแต่บริษัทจดทะเบียนอย่าง Tesla และ MicroStrategy ถือครองบิทคอยน์และได้รายงานผลประกอบการไตรมาสสองออกมา พบว่าทั้งสองบริษัทยังลงทุนในบิทคอยน์ในสัดส่วนเท่าเดิม ไม่มีการขายบิทคอยน์ออกไปแต่อย่างใด แม้ราคาบิทคอยน์จะลงไปต่ำสุดในไตรมาสสองของปีนี้ และทั้งสองบริษัทรายงานผลการดำเนินงานขาดทุนจากการถือครองบิทคอยน์ก็ตาม ส่วนกองทุน Grayscale Bitcoin Trust ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในบิทคอยน์ ลักษณะของกองทุนเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถขายหน่วยลงทุนบิทคอยน์ออกได้ ที่ผ่านมามีนักลงทุนขายทำกำไรหรือตัดขาดทุนออกมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อราคาบิทคอยน์มากนัก แสดงให้เห็นว่านักลงทุนสถาบันยังคงเชื่อมั่นและลงทุนในบิทคอยน์ในระยะยาว
ส่วนนักลงทุนสายขุดเหมือง ที่ลงทุนขุดบิทคอยน์ในประเทศจีน และเคยถูกทางการจีนห้ามการขุดบิทคอยน์ภายในประเทศ ส่งผลต่ออัตรากำลังขุด (Hash Rate) ปรับตัวลงอย่างรวดเร็วในระยะสั้นนั้น ขณะนี้อัตราดังกล่าวเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นจนใกล้เข้าสู่ภาวะปรกติ เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนได้ทยอยออกไปตั้งเหมืองใหม่ในต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนในตลาดคลายความกังวลการลงทุนบิทคอยน์ในระยะยาว