ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เกิดการล้มลงของธนาคารในสหรัฐฯและยุโรปอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ธนาคารSilvegate ธนาคาร Silicon Valley ธนาคาร Signature และล่าสุดกับ Credit Suise ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารยักษ์ใหญ่ของโลก ที่ต้องขอรับความช่วยเหลือจากธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ กล่าวถึงผลกระทบจากปรากฎการณ์ดังกล่าว ที่เข้าข่าย Financial Crisis ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารทั่วโลกรวมถึงไทยร่วงลงอย่างหนัก จากความกังวลว่าความเสียหายจะลามไปยังสถาบันการเงินอื่นๆด้วย ขณะที่ราคาทองคำกลับบวกสวนทางจากการที่นักลงทุนมองว่าจะเป็น Safe Haven
ขณะที่ตลาดคริปโตได้รับผลกระทบจากกรณีของธนาคาร Silvegate และธนาคาร Silicon Valleyไปก่อนหน้านี้ จากการที่สองธนาคารมีการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตอยู่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกรณีของบริษัท Circle ผู้สร้างเหรียญ USDC ที่มีเงินฝากในธนาคาร Silvergate แต่ปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไขไปเรียบร้อยแล้ว และราคาบิทคอยน์ก็ฟื้นตัวกลับมาได้และยังพุ่งแรงอีกกว่า 10% แตะระดับสูงสุดที่ 26,000 ดอลลาร์ คาดว่าหากมีธนาคารเฉพาะกิจอื่นๆมีปัญหาขึ้นอีก บริษัทคริปโตที่มีการทำธุรกรรมด้วยน่าจะมีทางแก้ไขปัญหาได้ทันจึงน่าจะไม่ทำให้เกิดผลกระทบรุนแรง
การที่ราคาทองคำและบิทคอยน์ปรับตัวขึ้นท่ามกลางวิกฤติสถาบันการเงิน อาจมองได้ว่านักลงทุนมองสองสินทรัพย์ดังกล่าว เป็นทางเลือกการลงทุนในภาวะวิกฤติ เนื่องจากตลาดหุ้นมีโอกาสสูงที่จะได้รับผลกระทบต่อวิกฤติสถาบันการเงิน ไม่ว่าจะอยู่ในเซกเตอร์ใดก็ตามทำให้ฟันด์โฟลว์ต้องมองหาสินทรัพย์ที่จะเข้าลงทุนแทน
รวมถึงบิทคอยน์ยังมีโอกาสจะได้รับผลบวกจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED ต้องปรับนโยบายการเงิน มาเป็นผ่อนคลายเพื่อป้องกันไม่ให้ความเสียหายจากสถาบันการเงินรุกลามไปมากกว่านี้ การที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง จะส่งผลบวกต่อบิทคอยน์และตลาดคริปโตดังกล่าวแน่นอน
คำถามคือในระยะกลางถึงยาว บิทคอยน์ลและตลาดคริปโตจะได้รับผลบวกจาก Financial Crisis รอบนี้หรือไม่? ถ้ามองในแง่ของฟันด์โฟลว์ก็มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้น ถ้าหาก FED มีการอัดฉีดสภาพคล่องเข้ามาแก้ไขปัญหาเหมือนกับในยุคปี 2009 ที่มีการทำ QE มาแก้ไขวิกฤติการเงิน สภาพคล่องส่วนที่เข้ามาน่าจะมีบางส่วนเข้าไปลงทุนในบิทคอยน์
ส่วนในแง่พื้นฐานระยะยาวมีความเป็นไปได้เช่นกันที่ความล้มเหลวจากระบบการเงินดั้งเดิม อาจทำให้ระบบการเงินใหม่ในรูปแบบ Decentralized ได้รับการยอมรับมากขึ้นก็เป็นได้ จากตอนนี้ที่เริ่มมีการนำแนวคิดของ DeFi มาใช้งานร่วมกับระบบการเงินดั้งเดิมแล้ว ตลอดจนการนำบล็อกเชนเข้ามาใช้ให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้น แต่การที่จะทำให้บิทคอยน์และคริปโตได้รับการยอมรับและเข้าถึงระดับ Mass Adoption ได้เหมือนกับระบบการเงินดั้งเดิมอาจจะต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่
อย่างไรก็ตามในระยะสั้นยังต้องจับตาวิกฤติการเงินรอบนี้ จะมี Blackswans ที่ไม่คาดคิด หรือไม่ถ้าหากความเสียหายลุกลามไปกว่าที่คิด อาจทำให้เกิดแรงเทขายอย่างหนักในทุกสินทรัพย์รวมถึงคริปโตได้เช่นกัน