อย่างที่รู้ๆกันนะคะว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกจากส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินในยุคปัจจุบันยังส่งผลทำให้โลกของเรามีการจัดระเบียบครั้งใหญ่จนนำไปสู่มาตราฐานใหม่ (New Normal) ไม่ว่าจะด้านการเมืองสังคมและเศรษฐกิจ
หลายธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่กำลังโดน Disrupt ทางด้านเทคโนโลยีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจทำให้ธุรกิจเหล่านี้ล่มสลายไปเร็วขึ้นขณะเดียวกัน New Normal ที่เกิดขึ้นจะเป็นโอกาสของธุรกิจยุคใหม่รวมถึงการลงทุนในกิจการนั้นๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
เรามาดูกันว่าโลกจะเกิด New Normal เชิงเศรษฐกิจอะไรบ้างและมีบริษัทอะไรที่อยู่ในนั้น
- ชัดเจนมากว่าอีคอมเมิร์ซจะกลายเป็นกระแสหลักของโลกจากที่แนวโน้มการเติบโตที่เห็นชัดเจนแแล้วว่าได้ Disrupt การค้าขายแบบดั้งเดิมไปอย่างมากแล้วหลังวิกฤตครั้งนี้จะชัดเจนขึ้นไม่เพียงแต่ทั่วโลกแต่ในประเทศไทยจะชัดเจนมากขึ้น เร็วๆ นี้เราน่าจะได้เห็นข่าวว่ามูลค่าความมั่งคั่งของ Jeff Bezos เพิ่มขึ้นในภาวะวิกฤตโควิด-19 เพราะผู้คนต่างหันมาซื้อของทางออนไลน์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ AMAZON และเชื่อได้ว่าพฤติกรรมผู้คนจะคุ้นเคยกับการซื้อของออนไลน์มากขึ้นแน่นอน หันมาทางฝั่งเอเชียความจริงข้อหนึ่งคือหนึ่งในสาเหตุที่ALIBABA เติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็วก็เพราะประเทศจีนที่เคยเผชิญวิกฤตโรคซารส์ในอดีตรัฐบาลได้เข้ามาสนับสนุนธุรกิจขนส่งจากความยากลำบากในการออกมาจับจ่ายซื้อของด้วยตัวเอ ทำให้ ALIBABA มียอดธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นและก้าวขึ้นเป็นยักษ์ใหญ่ของโลกในเวลานี้นอกจาก ALIBABA บริษัทสัญชาติจีนที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกันก็คือ JD.com ก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วยเช่นกัน น่าเสียดายที่ยังไม่เห็นหุ้นตัวไหนในตลาดหุ้นไทยที่จะได้รับประโยชนืชัดเจนจากกระแสอีคอมเมิร์ซเพราะน่าเสียดายที่ทุนต่างชาติเข้ามายึดตลาดนี้จนทำให้บริษัทสัญชาติไทยไม่มีโอกาสแจ้งเกิด
- การชำระเงินจะเปลี่ยนมาเป็นออนไลน์สอดคล้องกับกระแสของอีคอมเมิร์ซ นั่นคือวิธีการชำระเงินที่แทนจะใช้เงินสดเนื่องจากธนบัตรและเหรียญเงินต่างเป็นพาหะของเชื้อโรคอย่างดีรวมถึงการจับจ่ายซื้อของตามตลาดนัดและห้างสรรพสินค้าที่หายไปจากนโยบาย Lockdown ผู้คนจะชินกับการชำระเงินบนออนไลน์มากขึ้น หุ้นที่เราสามารถลงทุนรับตามกระแสดังกล่าวได้แน่นอนว่าจะต้องเป็นบริษัทผู้ให้บริการชำระเงินที่เราคุ้นเคยกันอย่าง VISA, MASTERCARD และ PAYPAL ซึ่งหากไปดูราคาหุ้นจะพบว่าปรับตัวลดลงตามภาวะตลาดแต่พอตลาดฟื้นและความกังวลเริ่มลงดลงราคาหุ้นต่างปรับตัวขึ้นแรงทั้งสามบริษัทนี้มีนโยบายชัดเจนที่จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีการชำระเงินทางออนไลน์ ขณะที่ฝั่งเอเชียต้องจับตาการไอพีโอของ Ant Financial บริษัทลูกของ ALIBABA ที่เป็นฟินเทคที่ใหญ่ที่สุดในโลกเจ้าของแพลตฟอร์มชำระเงินที่มีคนใช้ทั่วโลกกว่า 1,000 ล้านคน หากเข้าตลาดหุ้นจะเป็นหนึ่งในการลงทุนที่น่าสนใจอย่างมาก
- นับถอยหลังการใช้น้ำมันฟอสซิลสู่ New Energy ปรากฎการณ์นี้มาพร้อมกับความชัดแย้งของชาติผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างซาอุดิอาระเบีย และรัสเซีย ขณะที่การ Lockdown ทั่วโลกทำให้การเดินทางระหว่างประเทศต้องหยุดชะงักอย่างรุนแรงมีการคาดการณ์ว่าอาจต้องใช้เวลาถึงสองปีถึงทำให้การเดินทางระหว่างประเทศกลับมาสู่สภาวะเดิมก่อนเกิดวิกฤต การถดถอยของพลังงานเก่าในรูปแบบฟอสซิลเป็นจุดกำเนิดของบริษัทที่มุ่งเน้นด้านพลังงานยุคใหม่ที่จะสามารถแก้ไข Pain Point เดิมนั่นคือต้นทุนต่อหน่วยที่ยังสูงอยู่ให้ลดลง แน่นอนว่าทุกคนต้องจับตาไปที่ TESLA ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีคนรู้จักมากที่สุด แม้กิจการยังไม่สามารถทำกำไรได้ยั่งยืนแต่ราคาหุ้นหลังวิกฤตเริ่มจางลงได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนใกล้ที่จะกลับไปใกล้เคียงกับระดับเดิมก่อนที่ตลาดหุ้นจะถูกเทขายอย่างหนักแล้ว หลังวิกฤตจะต้องมีผู้ที่แสวงหาโอกาสจาก New Normal ได้ทุกครั้งเราอาจจะไม่ใช่ผู้สร้างกิจการเหล่านั้นแต่ก็สามารถสร้างความมั่งคั่งจากหุ้นเหล่านี้ได้