“บมจ.มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย)” หรือ MR. D.I.Y. ผู้นำธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ ยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 981,482,654 หุ้น ชูความพร้อมของธุรกิจในการก้าวเข้าสู่บทใหม่ในฐานะบริษัทมหาชน เพื่อเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) และธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินร่วม
กลุ่มบริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ” หรือ “MR. D.I.Y.”) เป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไปที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย โดยให้บริการลูกค้ากว่า 77 ล้านคนทั่วประเทศไทยต่อปี ในปี 2566 MR. D.I.Y. เปิดสาขาแรกเมื่อปี พ.ศ. 2559 และเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีสาขารวมทั้งสิ้น 802 สาขา ครอบคลุม 74 จังหวัด ทั่วประเทศไทย และมีการจ้างพนักงานกว่า 9,700 คน (ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567) MR. D.I.Y. นำเสนอสินค้าประมาณ 15,000 รายการ ใน 5 แผนกหลัก ได้แก่ (1) เครื่องใช้ในครัวเรือน (2) อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ (3) เครื่องใช้ไฟฟ้า (4) เครื่องเขียนและอุปกรณ์กีฬา (5) ของเล่น และหมวดหมู่อื่นๆ MR. D.I.Y. มีระบบการจัดการสินค้าที่มีประสิทธิภาพจากการจัดหาสินค้าร่วมกับเครือข่าย ส่งผลให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ทำให้มีต้นทุนค่าสินค้าต่อหน่วยลดลงสำหรับผู้บริโภค อีกทั้งยังมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนคุณภาพชีวิตที่ดีแก่คนไทยทั่วประเทศ ด้วยการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายในราคาถูกคุ้มเสมอ (Always Low Prices) พร้อมความสะดวกสบายผ่านร้านค้าที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ
นายชิน กวานกุ้ย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ MR. D.I.Y. เปิดเผยว่า ในปี 2567 MR. D.I.Y. ฉลองครบรอบ 8 ปี แห่งความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ในช่วงเวลาดังกล่าวบริษัทฯ ได้เห็นศักยภาพการเติบโตที่สูงในธุรกิจสินค้าอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ ทำให้บริษัทฯ สามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว โดยบริษัทฯ มีการขยายสาขาใหม่ในปี 2564 จำนวน 121 สาขา ในปี 2565 จำนวน 158 สาขา และในปี 2566 จำนวน 184 สาขา โดยคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ที่ 36.3% ต่อปีในปี 2564 – 2566
ตามรายงานวิจัยตลาดของ Frost & Sullivan พบว่า MR. D.I.Y. เป็นผู้นำตลาดที่โดดเด่นในธุรกิจสินค้าอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์โดยมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 7.4% สะท้อนให้เห็นถึงรากฐานที่มั่นคง ในขณะเดียวกันตัวเลขส่วนแบ่งการตลาดที่มีตัวเลขตัวเดียวยังบ่งบอกถึงโอกาสในการเติบโตในอนาคตอีกด้วย เมื่อพิจารณาถึงโอกาสดังกล่าว บริษัทฯ จึงมุ่งมั่นทุ่มเทในการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศไทย ด้วยกลยุทธ์การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุม การยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และการขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนและพัฒนาสังคมผ่านการสร้างงานและความร่วมมือกับผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายท้องถิ่น
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า “บมจ.มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย)” หรือ MR. D.I.Y. ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) โดยปัจจุบัน บมจ.มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) มีทุนจดทะเบียน 3,038.5 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 6,077,097,000 หุ้น[1] มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 2,798.5 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 5,597,097,000 หุ้น และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 981,482,654 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 16.31% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้
นายกนต์ธีร์ ประเสริฐวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า “MR. D.I.Y.” เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไป ที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ซึ่งยังมีระดับการแข่งขันที่ต่ำ (Underpenetrated) และเติบโตอย่างรวดเร็ว จากทิศทางของอุตสาหกรรมค้าปลีกสินค้าอุปกรณ์ตกแต่งบ้านโดยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 5.1% ตั้งแต่ปี 2566 – 2571[2] สำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของ MR. D.I.Y. มีวัตถุประสงค์นำเงินไปใช้ในการลงทุนเพื่อพัฒนาและขยายธุรกิจของบริษัทฯ ชำระเงินกู้ของบริษัทฯ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนทั่วไปสำหรับการดำเนินงานของบริษัทฯ
[1] ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 มีมติอนุมัติการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญต่อผู้บริหารและพนักงาน (ESOP Warrant) จำนวนไม่เกิน 60,000,000 หน่วย และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ จำนวน 60,000,000 หุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสาคัญแสดงสิทธิที่จะเสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อย
[2] อ้างอิงตามรายงานวิจัยตลาดของ Frost & Sullivan