เมื่อ 20 กรกฎาคม (19 กรกฎาคม ที่สหรัฐอเมริกา) ที่ผ่านมา เกิดวิกฤติการณ์คอมพิวเตอร์ครั้งใหญ่ขึ้นทั่วโลก เรียกกันว่า “จอฟ้ามรณะ” หรือ “BSoD (Blue Screen of the Death)” เมื่อคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows ในหลายหน่วยงานจอฟ้าพร้อมกันหมด ทั้งสายการบิน สถาบันการเงิน และโรงพยาบาล จนการดำเนินงานต้องหยุดชะงัก นั่นทำให้ตอนแรกทุกคนเพ่งเล็งไปที่ Microsoft ว่าน่าจะเป็นผู้รับผิดชอบ
แต่พอสืบสายไล่เรียงไปก็พบว่า ปัญหาที่แท้จริงมาจากโปรแกรมรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ CrowdStrike ที่หน่วยงานเหล่านี้ใช้เหมือนกันหมด มาจากการอัปเดตซอฟต์แวร์ล่าสุดที่มีไฟล์ผิดพลาด ทำให้หน่วยงานต่าง ๆ ไม่สามารถใช้งาน Windows ได้หลังอัปเดต ถึงแม้นี่จะไม่ใช่การโจมตีทางไซเบอร์ แต่ก็ส่งผลให้โลกส่วนหนึ่งต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่โกลาหล
ต่อมา ทั้ง CrowdStrike และ Microsoft ก็ได้ร่วมกันออกแนวทางแก้ปัญหาให้ผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว ในบางประเทศระบบกลับมาใช้งานได้ตามปกติในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่บางประเทศ อย่างไทย ก็ต้องใช้เวลาราว 5-8 ชั่วโมงกว่าจะกลับมาใช้ได้
ถึงอย่างนั้น งานนี้ต้องมีคนโดนสังเวย เรื่องจบแต่คนไม่จบแน่นอน เพราะเหตุการณ์คอมพิวเตอร์ขัดข้องในหลายหน่วยงานสำคัญทั่วโลกแบบนี้ กระทบต่อทั้งระบบเศรษฐกิจและชีวิตของผู้คนมากมายที่หน่วยงานต้องรับผิดชอบ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อ CrowdStrike จากหน่วยงานต่าง ๆ และนักลงทุนลดลงมหาศาล
เมื่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาเปิดซื้อขายในวันจันทร์ ราคาซื้อขายของหุ้น CRWD จาก CrowdStrike ก็ร่วงลงกว่า 13% ปิดตลาดไปที่ 263.91 ดอลลาร์/หุ้น จากเดิมที่ก่อนหน้านั้นก็เพิ่งร่วงมา 11% เรียกได้ว่าลงเหวกันไปเลย ในขณะเดียวกันหุ้นของบริษัทคู่แข่งอย่าง SentinelOne’s กลับพุ่งสูง 11% โบรกเกอร์หลายรายก็ลดราคาเป้าหมายของ CrowdStrike ลง และบางรายก็ยังได้ดาวน์เกรดหุ้นจาก “ซื้อ” เป็น “ถือ”
J.P. Morgan ให้ความเห็นว่า “เหตุการณ์นี้น่าจะส่งผลต่อการเงินและการดำเนินการของ CrowdStrike… พวกเขาต้องเสียเวลาไปจัดการความเสียหาย ไม่ได้ขายของ”
ส่วนเพื่อนร่วมชะตาอย่าง Microsoft ถือว่าพ้นจากมลทิน เพราะแม้ในช่วงแรกจะได้รับกระแสโจมตีไม่ใช่น้อย แต่เมื่อข่าวอัปเดต ผู้คนก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด นอกจากนี้ Microsoft ยังได้ชี้แจงว่าอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้มีเพียง 8.5 ล้านเครื่องเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่า 1% ของอุปกรณ์ที่ใช้ Windows ทั้งหมด ทำให้หลังเรื่องจบ ราคาหุ้นของ Microsoft ไม่ได้รับผลกระทบเลย บวกมา 1.33% ปิดตลาดไปที่ 442.94 ดอลลาร์/หุ้น ยังถือเป็นหุ้นที่น่าลงทุน และมีราคาเป้าหมายที่สูงกว่า 490 ดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม อนาคตของ CrowdStrike ก็อาจไม่ได้ย่ำแย่ไปกว่านี้ ด้วยตำแหน่งของผู้นำอุตสาหกรรมความปลออดภัยทางไซเบอร์ นักวิเคราะห์หลายรายก็ยังเชื่อว่าพวกเขาจะฟื้นตัวกลับมาได้ เพียงแต่ในช่วงสั้น ๆ นี้ บริษัทอาจต้องรับมือกับความเสียหายที่เกิดขึ้นไปก่อน จนกว่าจะเรียกความเชื่อมั่นจากผู้ใช้บริการกลับมาได้อีกครั้ง กับลูกค้าเดิมคงไม่มีปัญหาอะไรเพราะช่วยแก้ไขปัญหาได้แล้ว แต่กับลูกค้าใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาในอนาคต ก็คงไม่ใช่อนาคตอันใกล้อย่างที่เคย