EA หรือ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจด้านพลังงานหลากหลายธุรกิจ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจไบโอดีเซล ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับพลังงาน
EA เคยถูกยกย่องจาก BloomBerg ให้เป็น TESLA ประเทศไทย อาจเป็นเพราะ EA ดำเนินธุรกิจที่ครอบคลุมธุรกิจพลังงานในทุกมิติ ทั้งพลังงานสะอาด ธุรกิจพัฒนา ผลิต และจำหน่ายแบตเตอรี่ ประเภทลิเทียมไอออน พอลิเมอร์ มีโรงงานผลิตและประกอบรถยนต์ไฟฟ้า รถบรรทุกไฟฟ้า เรือโดยสารไฟฟ้า รวมถึงธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้า ขณะที่ผลประกอบการตั้งแต่ปี 2560 – 2563 ยังทำกำไรต่อเนื่องปีละหลายพันล้านบาท โดยในปี 2564 EA มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 2.4 แสนล้านบาท
ทว่า ปัจจุบันสิ่งที่เกิดขึ้นบนกระดานหุ้น โดยเฉพาะมูลค่าหุ้นของ EA ลดลงอย่างน่าใจหาย ครั้งหนึ่ง ราคาหุ้น EA เคยพุ่งไปแตะที่ระดับ 105.5 เมื่อปลายปี 2564 แต่ปัจจุบันร่วงลงมาอยู่ที่ 10.5 บาท นับเป็นราคาหุ้นที่ตกต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี แน่นอนว่า นี่ทำให้มูลค่าของบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ลดลงไปมากกว่า 3 แสนล้านบาท ปัจจุบันมูลค่าบริษัท EA เหลืออยู่ที่ประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท
แต่ปัจจัยอะไรที่ส่งผลให้ราคาหุ้นของ EA ดิ่งลงเช่นนี้ Connect the Dots จะพาไปหาคำตอบ
EA ออกมาชี้แจงว่า ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงนั้น เกิดจากปัจจัยภายนอกและสภาวะการณ์อื่นที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัท และหากบริษัทฯ มีพัฒนาการที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจที่สำคัญใด ๆ บริษัทฯ จะแจ้งให้นักลงทุนทราบและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป
แต่ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่น่าสนใจคือ EA มีหุ้นกู้ที่ใกล้จะครบกำหนดชำระเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่ารวมถึงเงินกู้จากสถาบันการเงินที่จะครบกำหนดอีก 7 พันล้านบาท และข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย หรือ ThaiBMA ระบุว่า EA มีหุ้นกู้ระยะยาวที่จะครบกำหนดชำระในปีนี้ 2 รุ่น มูลค่าประมาณ 5.5 พันล้านบาท และหุ้นกู้ระยะสั้นที่จะครบกำหนดชำระมูลค่า 1.6 พันล้านบาท
โดยเงินกู้จากสถาบันการเงินที่ EA ต้องแบกภาระนั้น มาจากการที่ บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ EA จะนำเงินส่วนนี้ไปใช้ในโครงการรถไฟฟ้า (EV Bus) ซึ่งโครงการดังกล่าวไม่เป็นไปตามแผนงานที่บริษัทเคยให้ข้อมูลไว้กับนักลงทุนสถาบัน แน่นอนว่าในที่นี้คือ นักลงทุนสถาบันต่างประเทศรายใหญ่ กระทั่งนำไปสู่แรงเทขายอย่างต่อเนื่อง
สถานการณ์ของ EA สร้างความกังวลให้เกิดขึ้นต่อนักลงทุนสถาบัน ที่กำลังมองว่า EA จะมีความสามารถชำระหนี้ของบริษัทอย่างเต็มจำนวนได้หรือไม่ ซึ่งมูลค่าหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระ และเงินกู้จากสถาบันการเงินที่ EA ต้องชำระ มีมูลค่ารวมประมาณ 7 พันล้านบาท
ล่าสุด นายใหญ่ของ EA สมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) แถลงชี้แจงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับหุ้น EA เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมามีข่าวลือในทางลบต่าง ๆ เช่นลือว่าผมขายหุ้นออกไปแล้ว หรือปล่อยข่าวที่ทำให้กระทบกับความเชื่อมั่นของบริษัทฯ มีทั้งการติดต่อไปยังผู้ถือหุ้นรายใหญ่เพื่อโน้มน้าวให้ขายหุ้นทิ้ง ในขณะที่จำนวนหุ้นที่ถูก Short Sell ก็มากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อหุ้นถูกเทขายออกมามาก ๆ ทำให้ราคาหุ้นลดลงและเกิดการถูก Force Sell จนกลายเป็น Snowball ทำให้ทุกคนเสียหาย และในวันนี้ผมก็ถูก Force Sell ด้วยเช่นกันและเป็นคนที่เสียหายมากที่สุด ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่าที่ลือกันว่าผมขายหุ้นออกไปก่อนหน้านั้นไม่เป็นความจริง”
นอกจากนี้ นายสมโภชน์ ยังมีการเจรจากับสถาบันการเงิน เสนอทางเลือกให้เจ้าหนี้ เช่น การหานักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นทำ Big Lot โดยไม่ให้กระทบกับราคาหุ้นในกระดาน การขอจ่ายชำระบางส่วน พร้อมหลักทรัพย์ปลอดภาระที่อยู่กับเจ้าหนี้มาค้ำประกันเพิ่มขึ้น และขอขยายเวลาชำระหนี้จากภายใน 3 วันเป็น 15 วัน
“ผมได้พยายามทำทุกอย่างเต็มที่แล้วแต่ไม่สำเร็จ จากสิ่งที่เเกิดขึ้น ตัวเองสูญเสีย wealth เป็นมูลค่าหลักหมื่นล้าน แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นไปกระทบกับความเชื่อมั่นของบริษัท กระทบภาพรวมของตลาด ผมขอโทษทุกคนที่เกี่ยวข้องด้วย”
นายสมโภชน์ มองว่านี่เป็นบทเรียนสำคัญของตัวเอง และอยากให้เป็นกรณีศึกษา อย่าได้เกิดกับผู้อื่น “สัดส่วนของการกู้เป็นเพียง 3% ของมูลค่าทรัพย์สินที่มีทั้งหมด แต่เมื่อเจอข่าวลือ ข่าวปล่อย การทำ Short Sell เพื่อกดราคาหุ้น ผมยังโดน Force Sell กลายเป็นตลาดทุนเป็นที่ทำลายธุรกิจ”
แม้ว่าปัจจุบันหุ้นที่เคยนำไปค้ำประกันเงินกู้ได้ถูกบังคับขายเพื่อชำระหนี้หมดแล้ว แรงเทขายอาจจะหมดเช่นกัน นับจากนี้ ราคาหุ้น EA น่าจะสามารถกลับเข้าสู่สภาวะปกติ แต่แน่นอนว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นจะเป็นจุดสำคัญต่อมุมมองของนักลงทุนที่น่าจะสะท้อนภาพอนาคตของ EA
ถึงตอนนี้ผู้บริหาร EA ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน EA ด้วยสัดส่วนมากกว่า 33% และยังมีพันธมิตรที่ถือหุ้นมากกว่า 50% ก่อนจะทิ้งท้ายว่า “ผมบาดเจ็บ แต่ยังไม่ตาย” และยังคงเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นให้ธุรกิจพลังงานสะอาดของตัวเองต่อไป