สถานการณ์ความตึงเครียดของสงครามในตะวันออกกลางยังน่ากังวล หลังจากอิสราเอลยังยืนยันที่จะตอบโต้อิหร่านในสุดสัปดาห์นี้ ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากนานาชาติ ประกอบกับเฟดส่งสัญญาณตรึงดอกเบี้ยนานขึ้น ส่งผลดอลลาร์แข็งค่า นักลงทุนถือทอง อินโนเวสเอกซ์ แนะ 4 ธีมลงทุนหุ้นลดเสี่ยงผันผวน
สถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางยังน่ากังวล แม้อิหร่านจะแสดงท่าทียุติแล้วก็ตาม แต่อิสราเอลยังยืนยันที่จะตอบโต้การโจมตีของอิหร่าน ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากนานาชาติให้อดกลั้น โดยคณะรัฐมนตรีสงครามของอิสราเอลจะมีการประชุมเพื่อตัดสินใจตอบโต้อิหร่านอีกครั้งในสัปดาห์นี้ ทำให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2,384.29 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไม่ไกลจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,431.29 ดอลลาร์ก่อนหน้านี้
สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำยังทำสถิติแตะระดับสูงสุดใหม่ จากแรงซื้อของธนาคารกลาง และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่าความขัดแย้งในตะวันออกกลางอาจทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ราคาทองคำในประเทศเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 40,350 – 41,400 บาท ต่อบาททองคำ ล่าสุดวันนี้ (11.00น.) ราคาทองคำในประเทศปรับขึ้น 250 บาทมาอยู่ที่ 41,450 บาท ต่อบาททองคำ ราคาทองคำในประเทศไทยยังได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
เฟดทบทวนปรับลดอัตราดอกเบี้ย
เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ หลังจาก “เจอโรม พาวเวล” ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณชะลอการลดดอกเบี้ยนโยบาย หลังจากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ธนาคารกลางอาจจำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นนานกว่าที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อายุ 2 ปี แตะระดับ 5% ในชั่วข้ามคืน มาอยู่ที่ 4.9828% ในขณะที่อัตราผลตอบแทน 10 ปีทรงตัวใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือนที่ 4.6674% เนื่องจากความคาดหวังที่ลดลงของนโยบายการผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐในปีนี้
ขณะที่สกุลเงินของประเทศต่างๆ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินเยนที่อ่อนค่าลงกำลังแตะระดับต่ำสุดในรอบ 34 ปี โดยราคาล่าสุดทรงตัวที่ 154.62 เยนต่อดอลลาร์ ด้านเงินบาทไทย กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ คาดกรอบเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 36.55-36.80 บาท/ดอลลาร์ เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนหันมาเก็งกำไรทองคำ โดยราคาทองโลกปรับขึ้นทำสถิติสูงสุดทุกวันในช่วงสงกรานต์ โดยดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำ เดือนเม.ย. 2567 อยู่ที่ 70.46 เพิ่มขึ้น 1.56% เมื่อเทียบกับเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา จากเงินบาทที่อ่อนค่า แรงซื้อเก็งกำไร และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางสถานการณ์สงครามที่เกิดขึ้น
แนะธีมหุ้นลดความผันผวน
บล.อินโนเวสเอกซ์ ระบุว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมองว่าช่วงสั้นตลาดหุ้นไทยจะผันผวนเชิงลบ จากความกังวลสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง ซึ่งจะทำให้ราคาพลังงานและเงินเฟ้อสูงขึ้น อีกทั้งเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยล่าช้ามากขึ้น ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมหลัก ดังนี้
1. หุ้นที่สามารถลดความผันผวนและเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากกรณีความไม่สงบในตะวันออกกลาง ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนสูงขึ้นกับการตอบโต้ของอิสราเอลว่าจะออกมาในรูปแบบใด และจะนำไปสู่สงครามระหว่างอิหร่านอย่างเต็มรูปแบบหรือไม่ โดยนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP ซึ่งคาดจะได้ประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น และหุ้นโรงกลั่นจะได้ผลบวกผ่านกำไรสต๊อกที่เพิ่มขึ้นเชิงพื้นฐานชอบ BCP ส่วน TOP
สำหรับการ Trading (หากสถานการณ์ลุกลามไปสู่การสู้รบอย่างเต็มรูปแบบอาจหนุนราคาน้ำมันเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในระยะสั้น เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานของอิหร่านที่คิดเป็น 3-4% ของอุปทานโลก และในกรณีเลวร้ายกระทบการส่งออกน้ำมันผ่านช่องแคบ Hormuz อาจกระทบการส่งออกได้สูงสุดถึงกว่า 17% ของอุปทานโลก) ขณะที่มองลบต่อกลุ่มค้าปลีกน้ำมัน (ค่าการตลาดแคบ) และกลุ่มสายการบิน (ต้นทุนเพิ่ม)
2. นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำหุ้นปลอดภัย (Defensive Stock) ซึ่งพื้นฐานแข็งแกร่ง ผลประกอบการไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจ เลือก หุ้นการแพทย์ (BDMS BCH) หุ้นขนส่งทางบก (BEM) หุ้นค้าปลีก (CPALL CPAXT) หุ้นสื่อสาร (ADVANC)
3. หุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐผ่านการแจกเงินดิจิทัล เลือก CPALL CPAXT BJC HTC SNNP
4. หุ้นที่ได้อานิสงส์บวกจากธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่จะดีขึ้นตามผลฤดูกาล เลือก AOT ERW MINT CPALL
ขณะที่ บลจ.กสิกรไทย แนะจัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงตามหลักการ Core & Satellite Portfolio โดยส่วนที่ 1: Core Portfolio เน้นลงทุนระยะยาว 3 – 5 ปี แบบ Asset Allocation ประมาณ 80% ของพอร์ต ส่วนที่ 2: Satellite Portfolio เน้นลงทุนระยะสั้นอย่างน้อย 3 เดือน แบบจับจังหวะตลาด (Market Timing) ประมาณ 20% ของพอร์ต เพื่อรอประเมินสถานการณ์ตลาดในระยะถัดไป