ในช่วงที่ผ่านมาปัจจัยเรื่องของดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้นถือว่าเป็นปัจจัยหลักส่วนหนึ่งที่กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก เพราะต้นทุนทางการเงินนั้นได้มีการปรับตัวสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมา จากในปี 2022 ที่อัตราดอกเบี้ยของ FED อยู่ที่ประมาณ 0.00% ปรับตัวขึ้นมาสูงถึง 5.00% ในปี 2023
และเมื่ออัตราดอกเบี้ยของ FED มีการปรับตัวขึ้นมา ก็ส่งผลให้ Bond Yield 10 ปีของ US มีการปรับตัวขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยของ FED โดยในปี 2022 Bond Yiled 10ปี ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 1.50% ปรับตัวขึ้นมาสูงถึง 5.00% และสิ้นปี 2023 Bond Yiled 10ปี ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 3.84% ถือว่าเป็นการปรับตัวขึ้นมาสูงถึง 154%
จากกราฟจะเห็นได้ว่าต้นทุนทางการเงินปรับตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมาก และเมื่อผลตอบแทนที่ไร้ความเสี่ยงนั้นปรับตัวเพิ่มขึ้น การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่าง ๆ ก็ได้ ถูกลดความน่าสนใจไปโดยปริยาย ดังนั้นในปีที่ผ่านมาจึงเกิดสภาวะที่เงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง ไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา
แต่ในปี 2024 นี้ที่หลาย ๆ แห่งคาดการณ์ว่า ดอกเบี้ยน่าจะขึ้นไปที่จุดสูงสุดแล้ว และหลังจากนี้มีโอกาสที่จะเป็นการคงอัตราดอกเบี้ย และปรับลดอัตราดอกเบี้ยในลำดับถัดไป
ดังนั้นเงินทุนก็มีโอกาสที่จะไหลกลับเข้ามาในสินทรัพย์เสี่ยงก็เป็นได้ และเมื่อเกิดการคาดการณ์ในรูปแบบนี้เกิดขึ้นสิ่งต่อมาที่นักลงทุนจำเป็นจะต้องทำการบ้านก็คือ ดูว่าหุ้นตัวไหน หรือกลุ่มใดที่มีความอ่อนไหวกับการปรับเพิ่มขึ้นหรือลง ของอัตราดอกเมื่อทราบเช่นนี้แล้ว เราก็จะทราบได้ว่า เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับลดลงมีโอกาสที่หุ้นกลุ่มไหนจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ในตลาด
จากสมมติฐานว่า อัตราดอกเบี้ยนั้นได้มาถึงจุดสูงสุดไปแล้ว และมีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับลดลงในอนาคต หุ้นกลุ่มแรกเลยที่ได้รับความสนใจมากก็คือ
1.กลุ่มการเงิน
ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้จะเป็นการที่ต้องหาแหล่งเงินทุนจากแหล่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ การออกหุ้นกู้ หรือการหาแหล่งเงินกู้จากธนาคารหรือองค์กรต่าง ๆ ดังนั้นปัจจัยหลักที่กระทบกำไรของหุ้นกลุ่มนี้คือ อัตราดอกเบี้ย ในช่วงปีที่ผ่านมาเราจะเห็นหุ้นกลุ่ม Finance ปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยของการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ย ดังนั้นแล้วเมื่ออัตราดอกเบี้ยในอนาคตมีแนวโน้มจะคงที่หรือปรับตัวลดลง จากปัจจัยที่เคยกดดันราคาหุ้นกลุ่มนี้ ก็อาจกลับมาเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาของหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้
2.กลุ่มอสังหาฯ
แน่นอนการกู้ซื้อบ้านนั้น ดอกเบี้ยก็เป็นปัจจัยสำคัญเฉกเช่นเดียวกันในการตัดสินใจซื้อ ถ้าอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง แน่นอนว่าผู้ที่ต้องการกู้ซื้อบ้านก็จำเป็นต้องผ่อนบ้านยาวนานขึ้น หรือยอดผ่อนต่อเดือนก็จำเป็นต้องสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นแล้วการที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลงมาก็จะถือว่าเป็นอีกปัจจัยที่จะเป็นตัวสนับสนุนให้กลุ่มของอสังหาฯ มีโอกาสมากขึ้นเช่นกัน
3.กลุ่มโรงไฟฟ้า
พอมาถึงกลุ่มนี้บางท่านอาจแปลกใจว่าทำไมกลุ่มโรงไฟฟ้าถึงได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง แต่ถ้าลองมองดูดี ๆ การจะสร้างโรงไฟฟ้านั้นจำเป็นต้องใช้เงินทุนสูง และใช้เวลาพอสมควรกว่าจะคืนทุนได้ ดังนั้นการกู้ยืมจากแหล่งต่าง ๆ จึงถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับหุ้นในกลุ่มนี้ ดังนั้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นก็ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย กลับกันรายได้จากการขายไฟฟ้านั้นมีกำลังการผลิตสูงสุด Cap ไว้อยู่ และก็มีสัญญาการขายไฟกำหนดราคาซื้อขายไว้อยู่ด้วย ดังนั้นแล้วเมื่อต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่รายได้เพิ่มได้จำกัด ก็จะส่งผลต่องบกำไรขาดทุนเช่นกัน ด้วยเหตุผลนี้เมื่อดอกเบี้ยเป็นขาลงก็จะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มนี้เช่นกันคือ ค่าใช้จ่ายลดลง และมีโอกาสที่จะทำให้กำไรของหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้น
เมื่อได้กลุ่มหุ้นคร่าว ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยแล้ว สิ่งที่นักลงทุนควรนำไปศึกษาต่อก็คือ เรื่องของพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัวว่าหุ้นตัวไหนที่มีโอกาสที่ราคาจะฟื้นกลับไปได้จากปัจจัยข้างต้น รวมถึงความแข็งแกร่งและโอกาสเติบโตในอนาคตด้วย เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุนกันด้วยนะครับ
เขียนโดย ว่าที่ร.ต. ธนวัฒน์ เมธวินภาณุวัชร์