ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองกำลังหวนหลับมา และหลังจากที่แม่ถูกแช่น้ำแข็งไว้เกือบปี บทเพลงที่คุ้นหูก็กำลังกลับมาอีกครั้ง เป็นสัญญาณของเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง
พร้อมกับเพลงประจำฤดูอย่าง ‘All I Want For Christmas Is You’ ที่สร้าง Passive Income ให้แม่มารายห์ต่อเนื่องมาเกือบ 30 ปีแล้ว
เพลงเดียวรับยาวทุกสิ้นปี
‘All I Want for Christmas is You’ คือ เพลงแรกจาก ‘Merry Christmas’ อัลบั้มที่ 4 ของแครี ปล่อยเมื่อ 29 ตุลาคม ปี 1994
ซึ่งในตอนนั้นเธอกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นแบบสุด ๆ ทอมมี่ มอตโตลา (Tommy Mottola) ผู้เคยเป็นสามีของเธอและขาใหญ่ของโซนี่มิวสิค (Sony Music) ในตอนนั้น จึงอยากตักตวงผลประโยชน์จากช่วงเวลาแบบนี้มากที่สุด
แม้ในตอนแรกแครีจะไม่เห็นด้วย เพราะมองว่าไปร้องเพลงคริสต์มาสมันดูเชยเกินไป แต่ในที่สุดแครีก็ตอบตกลง ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ ‘วอลเตอร์ อาฟานาซิฟฟ์ (Walter Afanasiff)’
และเริ่มใช้เวลาขึ้นโครงเนื้อเพลงเพียง 15 นาที ก่อนที่จะพร้อมเข้าห้องอัดด้วยฉบับสมบูรณ์ในอีกสัปดาห์ต่อมา โดยไม่มีนักดนตรีสักคนร่วมอัดเพลงนี้ ใช้เสียงเครื่องดนตรีจากคอมพิวเตอร์ล้วน ๆ เลย
จากอัลบั้มที่ไม่ได้ตั้งใจจะทำแต่แรก กลับกลายเป็นอัลบั้มที่ฮิตที่สุดตลอดกาลของเธอ ทั้งแครีและเพลงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นเฉลิมฉลองช่วงสิ้นปี ฟังกันวนไปจนขึ้นมาติดท็อปชาร์ตทุกปี และทำให้ตั้งแต่ Spotify สตรีมมิงเจ้าแรกเปิดตัวมาในปี 2008 ‘All I Want For Christmas is You’ มียอดสตรีมมากกว่า 1,000 ล้านครั้งแล้ว นี่ยังไม่นับรวมยอดขายตั้งแต่สมัยเป็นแผ่นเป็นเทปอีกหลายล้านก๊อปปี้
ที่สำคัญคือ เพลงนี้ยังกลายเป็น Passive Income ตลอดชีพโดยที่เธอไม่ต้องทำงานอีกทั้งชาติก็ยังได้ มีการประเมิณรายได้จาก ‘The Economist’ ว่าตั้งแต่ 1994 ถึงปี 2021 แครีและโซนี่ทำรายได้จากเพลงนี้ไปแล้วไม่น้อยกว่า 72 ล้านเหรียญสหรัฐ และ ‘New York Post’ เคยรายงานว่ารวม ๆ แล้วในหนึ่งปี (เอาจริง ๆ ก็แค่ช่วงสิ้นปีถึงหลังปีใหม่) แครีและโซนี่อาจมีรายได้รวมจากเพลงนี้ราว 3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว ๆ 100 ล้านบาทเลย
เส้นทางจากลูกนักร้อง สู่นักร้อง “ตัวแม่”
จุดนี้คงพูดได้ว่าแม่มารายห์เป็นหนึ่งศิลปินที่นั่งแท่นผู้ประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งความสำเร็จของเธอมันเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ไม่ยากเลย เพราะเธอคือศิลปินพยายามมาตลอด และ “ฉายแวว” มาตั้งแต่เด็ก
มารายห์ แครี เกิดปี 1969 เป็นลูกคนสุดท้องของนักร้องโอเปราหญิง ซึ่งแม่มักจะพาเธอไปชมการซ้อมโอเปราอยู่บ่อย ๆ และมาค้นพบพรสวรรค์ในการร้องเพลงของแครีตอนเธออายุได้ 3 ขวบ จากนั้นแครีก็ได้เริ่มแสดงต่อหน้าผู้คนครั้งแรกตอน 6 ขวบ และเริ่มแต่งเพลงตอนอยู่ชั้นประถม ช่วงมัธยมก็มักจะขาดเรียนอยู่บ่อย ๆ พยายามหาช่องทางในการเข้าวงการบันเทิง จนได้โอกาสเป็นนักร้องประสานเสียงให้ ‘เบรนดา เค. สตาร์ (Brenda K. Starr)’ ศิลปินแดนซ์-ป๊อปในยุค 80s
ในปี 1988 แครีมีโอกาสได้พบกับ ทอมมี มอตโตลา ผู้บริหารระดับสูงจากค่าย ‘โคลัมเบีย เรกคอดส์ (Columbia Records)’ ค่ายเพลงในสังกัดของโซนี่ เขาได้ฟังเทปเดโมของแครีและถูกใจมาก จึงชวนให้แครีมาเซ็นสัญญาเป็นศิลปินในสังกัด
แครีได้เปิดตัวในฐานะศิลปินอาชีพครั้งแรกเมื่อปี 1990 มีเพลงติดชาร์ตอันดับ 1 ในอเมริกาถึง 4 เพลง และได้รับรางวัลแกรมมีสาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมในปี 1991 จากเพลง ‘Vision of Love’ และนอกจากรางวัลแล้ว เธอยังได้รับการบันทึกในกินเนสเวิลด์เรกคอร์ด ว่าเป็นนักร้องที่ทำเสียงได้สูงที่สุดถึง G#7 แต่บ้างก็ลือว่าเธอไปได้ถึง Bb7 เลย
จากนั้นเธอก็ได้แสดงโชว์และร่วมงานกับศิลปินดังมากมาย จนได้มาออกอัลบั้มรับคริสต์มาส ในปี 1994 ที่สร้างปรากฎการณ์ไปทั่วโลก ยังคงไปได้ดีในอาชีพของเธอ แม้จะประสบกับปัญหาด้านสุขภาพและจิตใจจากเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างช่วงต้นปี 2000s จนหลายคนมองว่าเป็นจุดตกต่ำในอาชีพของเธอ แต่ไม่นานนักแครีก็กลับมาตั้งตัวได้และไม่เคยแผ่วเลย เธอยังคงเติบโตในวงการเพลงและวงการบันเทิงจนเป็นตำนานที่ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้
เพลงดังจนเดือดร้อน
ความสำเร็จอันล้นหลามนี้ทำให้ใคร ๆ ก็ขนานนามว่าเธอคือ “ราชินีคริสต์มาส” ซึ่งแครีเองเคยพยายามนำชื่อนี้ไปจดเครื่องหมายการค้าด้วย แต่ถูกปัดตกไปในที่สุด จากการคัดค้านของศิลปินหญิง ‘เอลิซาเบธ ชาน (Elizabeth Chan)’ ส่วนเหตุผลก็ค่อนข้างชัดเลย เพราะถ้าแครีได้สิทธิ์นี้ไป มันจะไม่แฟร์กับคนอื่น ๆ ที่จะขึ้นมาเป็นราชินีคริสต์มาสเลย และถ้าใครใช้ชื่อนี้ค้าขายหรือทำอะไรก็เสี่ยงจะโดนฟ้องกันได้ง่าย ๆ แล้วนั่นคงจะทำให้คริสต์มาสหมดสนุกไปเลย
แต่ใช่ว่าจะมีแค่ตัวเธอเองที่พยายามกอบโกยจากความสำเร็จนี้ นักร้องคันทรี่ ‘แอนดี้ สโตน (Andy Stone)’ ยื่นฟ้องแครีและอาฟานาซิฟฟ์ รวมถึงโซนี่ เรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงินกว่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 700 ล้านบาท อ้างว่าเพลงของแครี “คัดลอกโครงสร้างการเรียบเรียงเนื้อเพลง ที่พูดถึงคู่รักและบรรยากาศของเทศกาล รวมถึงหลายวลีในเนื้อเพลง” และบอกว่าการใช้ชื่อเพลงเดียวกัน ก็ทำให้ผู้ฟังสับสน ซึ่ง ‘All I Want For Christmas Is You’ ของสโตนปล่อยมาตั้งแต่ปี 1988 แล้ว และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งที่เขายื่นฟ้องแครีและค่าย แต่ปีก่อนก็ยื่นฟ้องมาในข้อกล่าวหาเดียวกันก่อนที่เจ้าตัวจะถอนฟ้องไป
ซึ่งในรอบนี้ก็อาจไม่ต่าง คาดว่าไม่น่าจะฟ้องกันยันสิ้นสุดกระบวนการตัดสิน และการฟ้องนี้อาจเป็นเพียงแผนการโปรโมตให้คนไปลองฟังเทียบดูก็ได้ ทางนั้นอาจเห็นว่าจ่ายค่าดำเนินการฟ้องเล็กน้อยแต่ได้กระแสมาบ้างก็คุ้ม แล้วค่อยถอนฟ้องก็ไม่ต้องสู้จนแพ้แล้วไปเสียค่าชดเชยให้ฝั่งนู้นด้วย เพราะถ้าหากลองฟังเทียบกันดูจริง ๆ มันแทบจะไม่มีอะไรคล้ายกันเลย ด้านโครงสร้างเนื้อหาเหมือนกันจริง แต่มันก็เหมือนกับเพลงคริสต์มาสอื่น ๆ ที่พูดถึงคนรักในบรรยากาศช่วงเทศกาลเหมือนกัน และคำหรือวลีต่าง ๆ มันเหมือนก็เพราะเพลงพูดถึงเทศกาลเดียวกัน คีย์เวิร์ดมันจะใช้วนอยู่ไม่กี่คำก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าจะดันทุรังฟ้องจนถึงที่สุด อาจเสียเองมากกว่า
สุดท้ายนี้ในทุกสิ้นปีเรายังคงได้ยินเสียงมารายห์ แครีอยู่เสมอ ส่งสัญญาณให้เราเตรียมเฉลิมฉลองคริสต์มาสและปีใหม่ และทุกครั้งที่ฟังก็ยังคงสร้างรายได้ให้เธอมหาศาล เพราะนี่แหละคือพลังของดีว่าระดับตำนานที่ยังมีลมหายใจ