สินค้าหนึ่งที่กลายเป็น Soft Power ของไทย และกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ศิลปินคนดังทั้งเกาหลี และระดับโลก ต้องมีไว้ในครอบครอง คือ ยาดม
•
ล่าสุด การมาทัวร์คอนเสิร์ตของ 4 สาว Blackpink ในไทย เมื่อวันที่ 27-28 พฤษภาคม 2566 สาวเจนนี่ Blackpink โพสต์ IG โชว์สินค้าไทยเช่นกันอย่าง”ยาดมโป๊ยเซียน” เจ้าของสโลแกน “ใช้ดมใช้ทาในหลอดเดียวกัน”หลากสี ที่เธอยกแพ็กกลับบ้านมาด้วย
•
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนเมษายนปีนี้ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK บินกลับมาเมืองไทย เพื่อฉลองวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 26 ปี พร้อมกับภาพหนึ่งที่มือของลิซ่าถือยาดมหงส์ไทยอยู่ ทำให้ยาดมหงส์ไทยกระปุกเขียวที่ดังอยู่แล้ว ก็ดังขึ้นไปอีก
•
หรือ Central Cee แร็ปเปอร์ชาวอังกฤษ ที่มาเที่ยวภูเก็ต พร้อมพกยาดมหงส์ไทย กระปุกเขียวติดตัวไปทุกที่ และบทสัมภาษณ์เปิดกระเป๋าของ British Vogue ก็หยิบเอายาดมของไทยออกมาแล้วบอกว่า ดมแล้วชื่นใจ อยากให้ที่อังกฤษมีผลิตบ้าง เพราะหมดกระปุกนี้แล้วไม่รู้จะไปหาซื้อที่ไหน
•
หรือจะเป็น มินนี่ (G)I-DLE / แบมแบม GOT7/ แจ็คสัน หวัง / มาร์ค ต้วน/ ยองแจ GOT7 / ไอรีน Red Velvet/ ซีแอล 2NE1/ แทยอน Girls’ Generation / หนุ่มๆ วง NCT ที่แฟนคลับชาวไทยต้องให้พวงมาลัยแผงยาดมไทย แล้วสูดดมกันกลางเวทีมาแล้ว
•
“ยาดม” ถือเป็นหนึ่งในสินค้าที่เรียกว่า Must Have Item หรือสินค้าในกลุ่ม “ของมันต้องมี” ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะในเอเชีย จีน เกาหลี และญี่ปุ่น ต้องซื้อกลับจากประเทศไทย และสามารถส่งออกไปขายได้อีกด้วย
•
เมื่อปี 2564 จากการสำรวจของนีลสัน ระบุว่า ตลาดยาดมของไทยมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3,300 ล้านบาทต่อปี และจากการสำรวจพบว่า ประชากรราว 70 ล้านคน ใช้ยาดมอย่างน้อยร้อยละ 10 และในหนึ่งเดือนใช้อย่างน้อย 2 หลอด
•
โดยยาหม่องแบบบาล์ม มีมูลค่าตลาด 2,000-2,500 ล้านบาท และ ยาหม่องน้ำ มีมูลค่าตลาด 500-800 ล้านบาท
•
และคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมยาดมและยาหม่องจะเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่ากว่าร้อยละ 6 หรือ 180 ล้านบาท
•
ขณะที่ตลาดยาดมของไทย มีผู้เล่นน้อยราย และแต่ละรายก็มีกลยุทธ์ทางการตลาดที่แตกต่างออกไป
•
โดยบอร์ 1 ยังเป็นของ “โป๊ยเซียน” มีมาร์เก็ตแชร์ ร้อยละ 57-60 เบอร์ 2 คือ “เป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์” มีส่วนแบ่งตลาดถึงร้อยละ 24
•
โดยเป๊ปเปอร์มิ้นท์ให้ข้อมูลว่า ผู้บริโภคในตลาดยาดมแบบหลอดนั้น สามารถแบ่งตามพฤติกรรมได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ “กลุ่มที่ใช้เพื่อแก้อาการ” เช่น เวียนหัว เมารถ เหนื่อยล้า เครียด กับ “กลุ่มที่ใช้เพราะเป็นนิสัย” ใช้ยาดมเป็นประจำ เบื่อๆ ก็หยิบมาดมได้ และจะมียาดมติดไว้ทุกที่ เช่น ในรถ ในบ้าน ในที่ทำงาน
•
โดยกลุ่มแรกนั้นจะซื้อเป็นครั้งคราวตามอาการที่เกิด และมักจะไม่เลือกยี่ห้อมากนัก เจอแบรนด์ไหนก็หยิบซื้อทันที
•
แต่กลุ่มหลังมักจะมีแบรนด์ลอยัลตี้สูง เพราะใช้จน ‘ติดกลิ่น’ จะชอบเลือกแบรนด์เดิมที่คุ้นเคย และเรียกว่าเป็น ‘Heavy Users’ เพราะมีการซื้อประจำ
•
ขณะที่เบอร์ 1 ของตลาดคือโป๊ยเซียนของบริษัท โกลด์ มิ้นท์ โปรดักส์ จำกัด ที่จดทะเบียนบริษัทมาตั้งแต่ปี 2532
•
นอกจากจะมีแบรนด์โป๊ยเซียนแล้ว ยังมียาดม “พีเพ็กซ์” (PE-PAX) ซึ่งเป็นแบรนด์แรกที่ถูกส่งเข้ามาในตลาด จุดแข็งอย่างหนึ่งของโป๊ยเซียนก็คือ การพัฒนาสินค้าให้ออกมาในรูปแบบ 2 in 1 ที่ใช้ได้ทั้งดมและทาในหลอดเดียวกัน คือนอกจากสูดดมแล้ว ยังสามารถใช้ทาเพื่อบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะได้อีกด้วย ถือเป็นจุดขายที่กลายมาเป็นตัวช่วยสร้างภาพจำให้แบรนด์ได้อย่างเหนียวแน่น
•
แนวทางการทำตลาดของโป๊ยเซียน แทบจะไม่ต่างจากแบรนด์ผู้นำในกลุ่มสินค้าประเภทอื่นๆ เพราะผู้เล่นรายนี้มีการแตกไลน์สินค้าที่เกี่ยวเนื่องออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นยาดมตราโป๊ยเซียน ยาดมโป๊ยเซียนมาร์คทู (Mark II) พิมเสนน้ำตราโป๊ยเซียน (POY-SIAN) ยาหม่องผสมพญายอตราโป๊ยเซียน นอกจากนี้ยังมี ยาดมตราพีเพ็กซ์ (PE-PAX) และยาดมตราเพ็กซ์ (PAX) ที่เน้นทำตลาดต่างประเทศเป็นหลัก
•
การครองตลาดอย่างเหนียวแน่นของโป๊ยเซียนนั้น นีลสัน ประเทศไทยเคยออกมาให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ตลาดของยาหม่องและยาหม่องน้ำ และยาดม คนไทยจะซื้อเพียงไม่กี่ยี่ห้อ แล้วก็จะเลือกซื้อเพียงยี่ห้อที่มีชื่อเสียงเท่านั้น โดยมีพฤติกรรม การใช้ของผู้บริโภค คือใช้มานานจนติดกลิ่น ตลอดจนการใช้งานแล้วเห็นผล ทำให้ทั้ง 3 สมรภูมิ ต่างมีผู้นำตลาดที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง และครองเบอร์ 1 มาอย่างยาวนาน
•
โดยยาหม่องแบบบาล์ม จะมียาหม่องตาถ้วยทองเป็นเบอร์ 1
•
ขณะที่ยาหม่องน้ำ มีเซียงเพียว ครองความเป็นผู้นำอย่างเหนียวแน่น
•
เช่นเดียวกับตลาดยาดม ที่กว่า 70% จะเป็นแชร์ที่อยู่ในมือของยาดมโป๊ยเซียน
•
ด้วยเหตุผลที่สินค้าในกลุ่มนี้ เป็นสินค้าที่คุ้นเคยกับคนไทย แถมบ่อยครั้งที่ยาดมหายก่อนจะหมด ทำให้เกิดการซื้อต่อเนื่อง
•
ส่วนผลประกอบการของ 3 ยาดมชื่อดังของไทย คือ
บริษัท โกลด์ มิ้นท์ โปรดักส์ จำกัด เจ้าของยาดมตราโป๊ยเซียน
– ปี 2562 รายได้ 1,015 ล้านบาท กำไร 349 ล้านบาท
– ปี 2563 รายได้ 797 ล้านบาท กำไร 234 ล้านบาท
– ปี 2564 รายได้ 751 ล้านบาท กำไร 284 ล้านบาท
•
บริษัท เบอร์แทรม (1958) จำกัด เจ้าของยาดมเป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ และ ยาหม่องน้ำ “เซียงเพียว”
-ปี 2563 รายได้ 1,036 ล้านบาท กำไร 230 ล้านบาท
-ปี 2564 รายได้ 1,419 ล้านบาท กำไร 432 ล้านบาท
-ปี 2565 รายได้ 1,767 ล้านบาท กำไร 494 ล้านบาท
•
บริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด เจ้าของยาดมสมุนไพรหงส์ไทย กระปุกเขียว
-ปี2563 รายได้ 17 ล้านบาท ขาดทุน 6 ล้านบาท
-ปี2564 รายได้ 24 ล้านบาท ขาดทุน 5 ล้านบาท
-ปี 2565 รายได้ 62 ล้านบาท กำไร 7 แสนบาท
•
ปิดท้ายสินค้ายาดมเป็นสินค้าที่ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายให้ข้อมูลว่า เป็นสินค้าที่มักจะหายก่อนที่จะใช้งานจนหมด ทำให้ผู้ซื้อต้องซื้อใช้เมื่อยาดมหายไม่ใช่เพราะหมดนั่นเอง
ที่มา:
https://www.tnnthailand.com/news/trueinside/143265/
https://youtu.be/pOj_BRZgBvU
https://www.springnews.co.th/news/news/837088
https://www.tnnthailand.com/news/trueinside/147373/
https://www.dailynews.co.th/news/2179580/
https://positioningmag.com/1424623