ราวเดือนมีนาคม 2023 สื่อเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลกก็ได้ตื่นตะลึงกับประกาศสมัครงานของบริษัทชื่อ Anthropic ซึ่งเป็นประกาศงานในตำแหน่งชื่อ AI Whisperer ได้เงินเดือนปีละ 335,000 เหรียญสหรัฐ หรือตกราวๆ เดือนละเกือบ 1 ล้านบาท โดยงานไม่เรียกร้องวุฒิการศึกษาและประสบการณ์ทำงานใดๆ แต่ขอให้ทำงาน “สั่ง AI ให้ได้ดั่งใจ” สมชื่อตำแหน่งก็พอ
ประกาศงานนี้น่าจะเป็นหมุดหมายสำคัญของยุคสมัยว่างาน “ผู้ใช้ AI” มาแล้ว และแม้ว่าบริษัทอื่นๆ จะไม่ได้ให้เงินเดือนบ้าคลั่งแบบ Anthropic แต่ทั่วๆ ไปงานใหม่นี้คนก็คาดหวังเงินเดือนกันหลักแสนบาท และจริงๆ พวกบริษัท Startup ในไทยก็เคยประกาศรับสมัครงานพวกนี้อยู่ในเรตนี้ในพวกกลุ่มคนเล่น AI บน Facebook (แต่มักจะไม่มีใครสมัครทัน) โดยทั่วๆ ไปเค้าจะเรียกตำแหน่ง “ผู้ใช้ AI” ที่ว่านี่ว่า Prompt Engineer
แน่นอน หลายคนได้ยินงานแบบนี้แล้วหู่ฝึ่งเลย อยากจะ “Re-Skill” กันทันที แต่ในความเป็นจริง ตำแหน่งพวกนี้ไปหาตามเว็บสมัครงานเราก็แทบหาไม่เจอแล้ว ณ เดือนพฤษภาคม 2023
และ “เหตุผล” หลักๆ คือ เมื่อบริษัทต่างๆ เริ่มเข้าใจ AI รูปแบบต่างๆ ที่จะเข้ามาช่วยงานได้แล้ว พวกบริษัทก็เริ่มตระหนักว่า จริงๆ แล้วมันไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะไปจ้าง “ผู้ใช้ AI” มาทำงาน เพราะในความเป็นจริง คนที่จะ “ปิดงาน” ได้ก็คือพนักงานคนเดิมที่ทำงานอยู่แล้วน่ะแหละ และฝึกให้พวกเค้าใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานมันก็เป็นทางออกที่น่าจะดีกว่าไปจ้างคนใหม่
อ่ะ ลองคิดแบบนี้ครับ เอาง่ายๆ เลย สมมติบริษัทคุณอยากได้คนใช้ AI เพื่อผลิตภาพขึ้นมาใหม่ ถ้าคุณไปจ้างคนข้างนอกตามกระแสนี้ เค้าอาจเรียกเงินเดือนหลักแสน ซึ่งคนที่ว่า เค้าอาจไม่มีเบสิคด้านศิลปะที่ดี ไปจนถึงอาจใช้ใช้โปรแกรม Photoshop ไม่เป็นเลยก็ได้ และนั่นคือคุณต้องส่งงานของคนพวกนี้แผนกกราฟฟิกเดิมที่มีอยู่แล้วเพื่อ “ปิดงาน” อยู่ดี
แต่ในทางกลับกันถ้าคุณพยายามเทรน “เด็กจบใหม่” ในทีมกราฟฟิกให้ใช้ AI เป็น คุณก็จะได้ฝ่ายกราฟฟิกที่ทำงานกับ AI เป็น และ “ปิดงาน” เองได้โดยไม่ต้องไปจ้างพนักงานใหม่เงินเดือนเป็นแสนให้เปลืองงบบริษัท
และทุกคนที่เคยใช้ Generative AI ก็น่าจะเห็นตรงกันว่า งานที่ AI ผลิตมา ยังไงมันต้องเอามา “เกลา” ต่อให้ “ใช้ได้” จริง ซึ่งหลายๆ คนที่เล่น AI เป็นมันไม่ได้มีทักษะ “เกลา” ที่ว่า มันสร้างงานเริ่มแรกมาได้ แต่มันไม่มีภาพในหัวว่างานตอนจบมันต้องหน้าตายังไง และในแง่นี้การจับคนที่มีปัญญา “ปิดงาน” อยู่แล้วไปฝึกให้ใช้ AI เป็น มันจึงง่ายและสมเหตุสมผลกว่าการไปจ้างคนใช้เป็นแต่ AI มาโดดๆ
ซึ่งพูดง่ายๆ คนใช้ที่ AI เป็นนั้นทำได้แค่ “ขึ้นงาน” หลายๆ คนมัน “ปิดงาน” กันไม่เป็นหรอก ดังนั้นถ้าอยากให้คนทำงานได้ตั้งแต่ต้อนจนจบ ก็ควรเอาคนที่ “ปิดงาน” เป็นมาสอนการ “ขึ้นงาน” ด้วย AI หรือให้ตรงกว่านั้นก็คือ ก็ลองหาจ้างคนที่ทำงานเป็นอยู่แล้วและใช้ AI พอเป็นมา นี่คืออุดมคติที่สุดที่นายจ้างต้องการ
ภาวะแบบนี้เลยทำให้ “ใครๆ ก็อยากใช้ AI เป็น” และพวก “โค้ช” และ “สถาบัน” จำนวนมากก็เลยเปิดคอร์สสอนใช้ AI กันรัวๆ เลย
ซึ่งถ้าค้นเร็วๆ เราก็จะพบว่าในไทย การเปิดคอร์สพวกนี้ทั่วๆ ไปมันกจะเรียนกันในวันเดียวและราคาคอร์สก็มีตั้งแต่ 1,500-7,000 บาท โดยคอร์สราคากลางๆ จะอยู่ที่ 3,000-4,000 บาท โดยมีสอน AI ตัวหลักๆ ที่ใช้กันทุกวันนี้ตั้งแต่ ChatGPT ที่ใช้ในการผลิตข้อความ ไปจนถึง Midjourney และ Stable Diffusion ที่ใช้ในการผลิตภาพ
ดังนั้นอะไรพวกนี้เป็นงานรายได้ดีที่หลายๆ คนที่ใช้ AI เป็นก่อนชาวบ้านรับสอนและโกยเงินไปสบายๆ เป็นกอบเป็นกำ โดยคนเรียนก็แฮปปี้ที่ตัวเองจะได้เพิ่มทักษะเข้ากับยุคใหม่ที่กำลังจะมาถึง เรียกกันว่าแฮปปี้กันทุกฝ่าย
…แต่งาน “สอนคนใช้ AI” แบบนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน?
ข่าวร้ายคือ น่าจะไม่นาน
ทำไมเป็นแบบนั้น? อันนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า “ระบบนิเวศ” ของ AI ก่อนหน้านี้ก่อน
คือมันเป็นระบบนิเวศแบบ “ใครผลิตมาให้คนใช้เยอะๆ ก่อนได้ชนะ” ดังนั้น จึงไม่แปลกที่เจ้าที่เจ้าตลาดตอนนี้คือ ChatGPT และ Midjourney ซึ่งเป็น 2 เจ้าแรกที่ให้คนมาใช้ AI ผลิตข้อความได้ฟรีๆ และผลิตภาพได้ฟรีๆ ตามลำดับ จนสร้างฐานผู้ใช้ได้เป็นกอบเป็นกำในไม่กี่เดือนหลังเปิดตัว
แต่ไม่ใช่บริษัทอื่นๆ ไม่มี AI ในมือ มันมีกันทั้งนั้น แต่ “กั๊ก” กันไว้และโดน “เปิดตัวตัดหน้า” แบบงงๆ ซึ่งบริษัทอื่นรู้ว่าพลาดจังหวะเปิดตัวก่อนแล้ว เทคนิคที่ใช้ก็เลยเป็นการ “ปล่อยฟรี” แบบทำให้เป็น Open Source เลย คือแจกโปรแกรม AI ให้ใช้ฟรี เอาไปปรับแต่งต่อยอดเองฟรี ซึ่งนี่เราจะเห็นในการที่ LLaMA ของ Facebook ที่เอามาสู้กับ ChatGPT และ Stable Diffusion ของ Stability AI ที่ส่งมาสู้กับ Midjourney
ซึ่งตรงนี้ บางคนก็อาจจะมองว่า LLaMA กับ Stable Diffusion มันดังสู้ ChatGPT กับ Midjourney ไม่ได้ แต่ในความเป็นจริง “ข้อได้เปรียบ” ของพวกนี้คือมัน “ปล่อยฟรี” ดังนั้นมันเอาไปปรับใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ในต้นทุนราคาถูกกว่า เช่น ถึงคุณจะผลิตภาพใน Midjourney คุณก็เอาไปใช้ในทางการค้าไม่ได้ แต่กับ Stable Diffusion คุณใช้ได้ ดังนั้น พวกบริษัทต่างๆ ก็จะสนใจเจ้าหลังมากกว่าเพราะมันถือว่ารูปที่คุณผลิตมามันเป็นของคุณ 100% ไม่ติดสัญญาอนุญาตแบบของ Midjourney
ดังนั้นตรงนี้เรา ลองคิดในมุมคนกำลังจะเรียนการใช้ AI ก็จะเห็นละว่า เอ้าจะเรียน AI แบบนี้จะเรียน ChatGPT หรือ LLaMA? เรียน Midjourney หรือ Stable Diffusion? เพราะเลือกเรียนผิด ชีวิตเปลี่ยน
พูดง่ายๆ ตอนนี้ตลาด AI ยังไม่นิ่งสุดๆ มันยังตกลงกันไม่ได้ว่าอะไรคือ “โปรแกรมกลาง” ที่ทุกคนจะใช้กัน และถ้าคุณดันไปฝึกใช้โปรแกรมที่เค้าไม่ใช้ สิ่งที่เรียนไปอาจจะครึ่งหนึ่งก็จะสูญเปล่า เพราะ AI แต่ละตัว มันมีจุดเด่นจุดด้อยไปจนถึงวิธีเขียน Prompt สั่งการไม่เหมือนกัน (Midjourney กับ Stable Diffusion นี่เขียนไม่เหมือนกันแน่นอนครับ)
นี่เป็นปัจจัยที่จะทำให้คนที่พอรู้เรื่องจะเริ่ม “ลังเล” ว่าจะจ่ายเงินหลายๆ พันเพื่อจะเรียนใช้ AI ดีมั้ย เพราะ AI ที่เรียนไป ผ่านไปอีกปีนึง มันก็มีโอกาสที่คนจะไม่ใช้กันแล้ว ไปใช้ตัวอื่นกัน และก็เช่นกัน ถ้าคุณดันไปพัฒนาคอร์สของ AI สักตัว แต่ผ่านมาครึ่งปี คนเลิกใช้ AI ตัวนี้กัน คอร์สคุณก็สูญเปล่า
…แต่สิ่งที่อาจทำลาย “ตลาดคอร์ส AI” แบบทำให้แทบจะตายจริงๆ อาจเป็น Google
หลายคนคงรู้แล้วว่า Google ประกาศเปิดตัว AI ของตัวเองแบบจำนวนมากเลยในตอนต้นเดือนพฤษภาคม 2023 และที่โหดคือ AI ของ Google พวกนี้มันประสานไปกับ Gmail, Search, Docs, Sheets, Slides ไปจนถึง Maps เลย
หรือพูดง่ายๆ Google ไม่ยอมให้ ChatGPT แย่งตลาดไปง่ายๆ และเอา AI ของตัวเองอัดเข้าไปในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเลย ให้ใช้จากในนั้นได้เลย เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ พวกโปรแกรม Add On ของ ChatGPT จะเข้ามาแย่งตลาดในระบบนิเวศของ Google เอง
ลองนึกภาพงี้ครับ ถ้าเราจะเขียนบทความส่ง ตอนนี้เราต้องไปสั่งใน ChatGPT แล้ว Copy ไปลงไฟล์แล้วเซฟส่ง ทาง Google บอกไม่ต้อง คือสั่งใช้ AI ของ Google เองได้จาก Docs เลย ไม่ต้องย้ายหน้าจอไปมาให้ยุ่ง หรือก่อนหน้านี้ ถ้าเราจะทำสไลด์ ด้วย Slides ของ Google ถ้าเราจะใช้ AI ทำสไลด์ (ใช่ครับ ทำได้) แบบสั่งให้ทำสไลด์เรื่องนี้ๆ หน้าตานี้ๆ สัก 20 หน้า เราต้องไปลง Add On ที่เชื่อมกับ ChatGPT อีกที แต่ Google บอกไม่ต้อง Google จัดให้เลยคือสั่งให้ Slides ทำได้เลย ไม่ต้องลงโปรแกรมเสิร์มจากภายนอก
และที่โหดกว่านั้นคือการบูรณการเป็นระบบนิเวศเดียวของ Google เช่น ถ้าเราไปถามทางกับ Bard ซึ่งเป็น ChatGPT ของ Google มันไม่ได้แค่ “บอกทาง” แต่มันจะปัก GPS ลงใน Google Maps ให้เราดูได้เลย เป็นต้น
แบบนี้ว่ากันตรงๆ ถ้าไม่ทำอะไร ChatGPT ก็ไม่เหลือครับ และนี่เป็นเหตุผลที่เราจะเห็นการ “ดิ้นรน” ของทาง OpenAI เลย หลังจาก Google ทำการเปิดตัวที่ว่า (การดิ้นรนที่ว่ามีทั้งเรื่องจะแจก “ตัวฟรี” ยันการไปโวยให้สภาคองเกรสตั้งหน่วยงานควบคุมพัฒนาการของ AI ซึ่งมันอ่านได้ว่าเป็นการพยายามจะ “ขัดขา” Google ได้หมด)
อย่างไรก็ดี ความน่าสนใจคือถ้าเราลองใช้ AI ของ Google สิ่งที่เราจะพบเลยคือมันมีตัวช่วยเหลือและมีคำแนะนำเยอะมากๆ แบบไม่รู้เรื่องอะไรก็ใช้เป็น
ซึ่งนี่ทำให้เราตระหนักว่าพวก ChatGPT, Midjourney และสารพัด AI ตัวก่อนๆ มันไม่เคย “พยายามสอน” ให้เราใช้มันเลย มันผลิตมา โยนให้เราใช้งงๆ ให้เราไปคลำทางเองว่าใช้ยังไง และนี่เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงมีตั้งแต่ “คอร์สสอน” ยัน “ตำรา” ออกมาเต็มไปหมด คือ บริษัทพวกนี้ผลิต AI มาโดยไม่มี “คู่มือการใช้ AI” มาแจกเราด้วยซ้ำ ดังนั้นคนมันต้องงมเองหมด อยากงมได้เร็วก็อ่านหนังสือที่คนอื่นเขียนหรือเรียน
…แต่คิดว่า Google จะทำแบบนั้นเหรอครับ?
จากผลงานที่ผ่านๆ มา Google มีแนวโน้มสูงมากๆ จะ “เปิดคอร์สสอน” การใช้ผลิตภัณฑ์ของ Google ให้เรา “เรียนฟรี” และบางทีจะมีไประกาศณียบัตร ให้เราตอนเรียนจบด้วยซ้ำ
และเมื่อ Google เปิดคอร์สเองเมื่อไร นั่นแหละครับที่จะเป็น “อวสาน” พวก “คอร์ส AI” ทั้งหลาย คือถ้าคุณเรียนฟรีกับ Google ได้และมีประกาศณียบัตรเอาไว้โชว์ตอนสมัครงานด้วย คุณจะไปเสียเงินเรียนกับเจ้าอื่นไปทำไม?
นี่เป็นเหตุผลที่คอร์สสอน AI ทั้งหลายที่เปิดๆ กัน มันอาจอายุไม่ได้ยืนยาวนัก มันอาจหายไปหมดเกลี้ยงใน 2-3 ปีก็ได้
ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพราะว่า Google ว่าจะมาลุย “สอนฟรี” เองอย่างที่ว่า อีกส่วนก็เพราะว่าอีกไม่นาน “ทักษะการใช้ AI” มันก็น่าจะกลายเป็นเรื่องพื้นๆ ไม่ได้จากการใช้ Google Search หรือ Microsoft Words ที่ทั่วๆ ไปคนก็ “เรียนรู้ด้วยการใช้” ไม่ได้ต้องไป “เรียน” แต่อย่างใด
เพราะถ้าคิดว่าการใช้ AI มันยาก มันงง ก็อยากให้นึกย้อนไปวันที่เราได้ “เข้าอินเทอร์เน็ต” วันแรกน่ะครับ มันทั้งงงและตื่นเต้น มันลองผิดลองถูกกันเพลิน แต่สุดท้ายเราก็ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นโดยไม่มีใครมาสอน
และเราก็น่าจะใช้ AI เป็นด้วยวิธีการแบบนั้นแหละครับ
.
ที่มา :
https://www.latimes.com/…/335-000-pay-offered-for-ai…
https://ai.facebook.com/…/large-language-model-llama…/
https://stability.ai/blog/stable-diffusion-public-release
https://techcrunch.com/…/google-launches-a-smarter-bard/