การลงทุนเพื่อวัยเกษียณเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน ซึ่งการลงทุนในหุ้นจะช่วยตอบโจทย์สำหรับการลงทุนระยะยาวได้เป็นอย่างดี แต่ว่าถ้าหากเลือกหุ้นได้ไม่เหมาะสมกับลักษณะการลงทุนของตนเอง เช่น ลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงแต่ไม่มีเวลาติดตามข้อมูล ก็อาจก่อให้เกิดการผิดพลาดหรือขาดทุนได้ ซึ่งย่อมไม่เป็นผลดีต่อแผนการลงทุนระยะยาว ดังนั้น การเลือกหุ้นที่เหมาะกับการลงทุนในวัยเกษียณควรมีหลักการ ดังนี้
แบ่งประเภทหุ้นที่ต้องการลงทุนในระยะยาวโดยแบ่งตามระดับความเสี่ยงต่างๆ เช่น
1.หุ้นโตช้า (Slow Growers)
เป็นหุ้นที่มีกิจการขนาดใหญ่ ธุรกิจค่อนข้างอิ่มตัว ปันผลดี สม่ำเสมอ แต่ราคาไม่น่าตื่นเต้นเท่าไหร่
2. หุ้นแข็งแกร่ง (Stalwarts)
เป็นหุ้นที่มีกิจการขนาดใหญ่ มีชื่อเสียงธุรกิจเติบโตเรื่อยๆ ไม่หวือหวาเป็นหุ้นที่ปลอดภัยอยู่รอดได้แม้เกิดวิกฤต
3. หุ้นเติบโต (Growth Stock)
ส่วนใหญ่เป็นกิจการขนาดเล็กมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงในระยะเวลาไม่นาน อีกทั้งมีศักยภาพในการขยายกิจการ ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน เช่น หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี หรือหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นต้น
4. หุ้นวัฏจักร (Cyclical)
เป็นหุ้นเกี่ยวกับกิจการขายสินค้าโภคภัณฑ์หรือสินค้าเกษตร มีรายได้เป็นฤดูกำไรขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจและราคาของสินค้านั้นๆ
5. หุ้นฟื้นตัว (Turnaround)
เป็นกิจการเคยแย่หรือขาดทุนมาก่อน กำลังมีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน มีโอกาสทำกำไรได้มาก แต่ความเสี่ยงก็มากเช่นกัน
6. หุ้นสินทรัพย์มาก (Asset Play)
กิจการที่มีสินทรัพย์ เช่น ที่ดิน เงินสด หรือสินทรัพย์อื่นๆที่ยังไม่รับรู้มูลค่าเต็มที่ซ่อนอยู่ในงบดุล
กำหนดสัดส่วนในการลงทุนเมื่อเทียบช่วงอายุในการลงทุน
หากเริ่มลงทุนเมื่ออายุน้อยก็สามารถจัดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเติบโตได้มาก หรืออาจแบ่งสัดส่วนตามช่วงอายุได้ ตัวอย่างเช่นในวัยเริ่มทำงาน อาจจะเหมาะกับการลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ-ปานกลาง เพราะเป็นวัยที่ยังไม่มีรายได้มากนัก แต่มีค่าใช้จ่ายแลภาระเยอะ หรือในวัยมั่งคั้งและวัยเกษียณ อาจจะเหมาะกับการลงทุนที่มีความเสี่ยงปานกลาง-สูง เพราะเป็นวัยที่ค่อนข้างมีฐานะที่มั่นคงแล้วแต่อยากลงทุนเพื่อมีเงินงอกเงย
ประเมินและติดตามผลการดำเนินงานของหุ้นที่ลงทุน
โดยติดตามข้อมูลผลประกอบการของหุ้นที่ถืออยู่ในพอร์ตอย่างน้อยทุกๆ ไตรมาส เพื่อดูว่าหุ้นในพอร์ตมีพัฒนาการไปในทิศทางไหน เช่น หากลงทุนในหุ้นเติบโต บริษัทควรมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นในระดับ 15 – 20% ต่อปี หรือมีผลกำไรเติบโตต่อเนื่อง ส่วนหุ้นคุณค่า บริษัทควรมีมูลค่าทางบัญชีสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่หุ้นปันผล การจ่ายปันผลของบริษัทควรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อพิจารณาแล้วพบว่าหุ้นที่ลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาดหวังก็ปรับปรุงแผนการลงทุนให้เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเราจะกำหนดสัดส่วนการลงทุนอย่างเหมาะสมแล้ว แต่ภาวะตลาดก็อาจไม่เป็นใจในการลงทุน ต้องทำความเข้าใจว่าในการลงทุนระยะยาวนั้น จำเป็นต้องมีความอดทนและวินัยในการลงทุน ไม่ควรกังวลกับความผันผวนระยะสั้น เพราะสุดท้ายแล้วผลประกอบการที่ดีจะสะท้อนไปยังราคาหุ้นในที่สุด
อ้างอิง: https://wealthmeup.com/20-04-19-retirestock/
หากสนใจเปิดพอร์ตตลาดหุ้นไทย
สำหรับนักลงทุนที่สนใจเปิดพอร์ตตลาดหุ้นไทยกับ KTBST ได้ ที่นี่ เพราะ KTBST มีค่าธรรมเนียมต่ำ เป็น “ สถาบันการเงิน ” ในประเทศไทยที่มีความโดดเด่นในการให้บริการลูกค้า นอกจากนั้นยังเป็นตัวช่วยให้ผู้ถือหุ้น “เติบโตอย่างยั่งยืน” และมีส่วนช่วยสังคมในการ “ พัฒนาตลาดทุน ”
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
#CISThai
Line Official: https://lin.ee/jO65rNq
Website: https://connectthedotsth.com/
FB Fanpage: https://www.facebook.com/CreativeInvestmentSpace