นักลงทุนรุ่นใหม่ ประเมินสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าแพร่ระบาดมากขึ้น ส่งผลกิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่สามารถดำเนินการได้ กระทบหุ้นกลุ่มเปิดเมือง ชี้เป็นโอกาสเก็บหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในกลุ่ม FAANG MAN รวมถึงหุ้นเทคโนโลยีที่เป็น Growth Stock ส่วนราคาทองคำ แนะนักลงทุนจับตาการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ด้านราคาบิทคอยน์หากต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เหมาะเก็บสะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลก อาจมีโอกาสกลับมาเสี่ยงอีกครั้งจากการแพร่ระบาดไปทั่วโลกของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า เพราะการฉีดวัคซีนบางประเภทในขณะนี้ยังไม่สามารถป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าได้ ส่งผลให้หลายประเทศต้องกลับมาควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเข้มข้นอีกครั้ง ทำให้หุ้นกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการเปิดเมืองได้รับแรงกดดัน สถานการณ์ในบางประเทศขณะนี้ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า โดยเฉพาะประเทศในยุโรปและเอเชีย
ขณะที่สหรัฐอเมริกา แม้จะยังไม่ได้รับผลกระทบหนัก แต่อัตราการฉีดวัคซีนทั่วประเทศที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน เคยตั้งเป้าไว้ก่อนวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันชาติก็ไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จึงน่าจับตาว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจมีมุมมองเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปในการประชุมปลายเดือนนี้ ถ้าหากมีการปรับลดการเติบโตทางเศรษฐกิจลง สิ่งที่ตลาดกังวลว่ามาตราการผ่อนคลายทางการเงินจะถูกยุติลงเร็วกว่าที่คาดการณ์ก็จะหายไป ดังนั้นมองว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ก็จะกลับมา Outperform ได้อีกครั้ง หลังถูกเทขายออกมาจากความคาดหวังที่เศรษฐกิจโลกกำลังจะฟื้นตัว และส่งผลให้ Bond Yield พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ทั้ง Dow Jones, S&P500 และ NASDAQ สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ทั้งหมด เนื่องจากการเติบโตของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในกลุ่ม FAANG MAN และคาดการณ์ว่าหุ้นกลุ่มนี้จะประกาศผลประกอบการในไตรมาสสองเติบโตต่อเนื่อง จึงเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ราคาหุ้นกลุ่ม FAANG MAN ยังคงเป็นขาขึ้นต่อไป ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งเป็นหุ้นเติบโต (Growth Stock) อย่างเช่น หุ้นที่กองทุน ETF อย่าง Ark Invest เข้าลงทุน คือ TESLA ROKU SQUARE ซึ่งถูกเทขายหนักในช่วงที่ผ่านมา น่าจะมีโอกาสฟื้นตัวหลังจากราคาหุ้นกลุ่มนี้เริ่มจะยืนที่ราคาพื้นฐานได้ และหากตลาดคลายความกังวลในเรื่องที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะชะลอการอัดฉีดสภาพคล่อง รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เม็ดเงินมีโอกาสไหลกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว จึงมองเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุน
สำหรับสินทรัพย์อื่น ๆ อย่าง ราคาน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ราคาปรับตัวขึ้นแรงในช่วงครึ่งแรกของปีนี้น่าจะมี Upside ที่จำกัดแล้ว หากการเปิดเมืองไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลงจะกดดันการใช้น้ำมัน ส่วนราคาทองคำ ยังต้องจับตาการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เริ่มจะชะลอการแข็งค่า เนื่องจากเริ่มมีความกังวลว่าอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเร็วในช่วงก่อนหน้านี้ น่าจะชะลอตัวลงแล้ว ถ้าหากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ปรับตัวขึ้นตามเงินเฟ้อ ทองคำยังน่าจะทรงตัวอยู่เหนือระดับ 1,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นระดับที่สามารถลงทุนระยะยาวได้
ทางด้าน บิทคอยน์ แม้ภาพรวมทางเทคนิคยังคงเป็นขาลงแบบ Sideway Down แต่ยังคงมีประเด็นใหม่ที่เข้ามาสนับสนุนราคา ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับในฐานะสินทรัพย์การลงทุนของนักลงทุนสถาบัน และการยอมรับให้เป็นสกุลเงินของชาติขนาดเล็ก มองว่าแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก และการแบนเหมืองบิทคอยน์ในประเทศจีนน่าจะลดลง เพราะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพื้นฐานของบิทคอยน์ แต่มีผลเชิงจิตวิทยาเท่านั้น ดังนั้นจึงมองที่ระดับราคาต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นระดับที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในระยะยาว
“ถ้าหากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า ยังไม่สิ้นสุดลงจะเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี รวมถึงสินทรัพย์ทางเลือก อย่าง ทองคำ และบิทคอยน์ เพราะการอัดฉีดสภาพคล่องจะยังไม่จบลงเร็วกว่าที่คาดการณ์ และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะยังไม่แข็งค่ามากเกินไป ปัจจัยนี้น่าจะเป็นธีมการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง” นายณพวีร์ กล่าวส่งท้าย
#CISThai
Line Official: https://lin.ee/jO65rNq
Website: https://connectthedotsth.com/
FB Fanpage: https://www.facebook.com/CreativeInvestmentSpace