สถานการณ์ของตลาดหุ้นทั่วโลกนับตั้งแต่เปิดเดือนแรกของปี 2022 ถือได้ว่าสร้างความลำบากในการลงทุนพอสมควร ปัจจัยหลักมาจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวของ FED ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างถูกเทขายอย่างต่อเนื่อง แต่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังไม่ชัดเจน ยังพอมีตลาดหุ้นที่น่าสนใจในการลงทุนอยู่สองตลาด
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯและทั่วโลกปรับตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ในปี 2021 เป็นการได้รับอานิสงจากการอัดฉีดสภาพคล่อง เมื่อ FED จะทำการดึงเงินกลับ นักลงทุนที่ทำกำไรได้ในปีที่แล้วก็พร้อมจะขายทำกำไรได้ทุกเวลา โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีในตลาด NASDAQ ที่จัดให้อยู่ในกลุ่ม Growth Stock ซึ่งเริ่มเห็นการเทขายมาแล้วตั้งแต่ปลายปี 2021
ตลาดหุ้นที่จะมีความน่าสนใจในการลงทุนจึงน่าจะเป็นตลาดที่ Underperform ตลาดหุ้นอื่นๆในปีที่แล้วแต่เริ่มเห็นสัญญาณของพื้นฐานที่ดีขึ้น โดยตลาดแรกที่มีความน่าสนใจคือตลาดหุ้นจีน แต่ขอโฟกัสไปที่กลุ่มเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็น Alibaba,Tencent,Baidu ฯลฯ
เนื่องจากปีที่แล้วหุ้นกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบหนักจากนโยบาย Normal Possibility ของรัฐบาลจีนที่พยายามคุมการเติบโตของหุ้นเทคโนโลยีประกอบกับนโยบายกีดกั้นบริษัทจีนของสหรัฐฯ เราจึงได้เห็นหุ้นกลุ่มดังกล่าวราคาหุ้นปรับตัวลดลงกว่า 40-50% บางตัวราคาลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่
แต่ล่าสุดราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวเริ่มที่จะไม่สร้างจุดต่ำสุดใหม่และเห็นภาพของการฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะเห็นนักลงทุนที่ขายทำกำไรจากหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯหันมาลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนแทน โดยมีแรงจูงใจในแง่ของ Valuation ที่ลงมาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมาก
อย่างไรก็ตามหุ้นที่อ้างอิงกับเศรษฐกิจภายในของจีนแผ่นดินใหญ่อาจจะยังไม่น่าสนใจในการลงทุนตอนนี้จากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดที่ยังไม่จบลง ถ้าหากปัญหาเริ่มคลี่คลายก็น่าจะเป็นโอกาสลงทุน
อีกตลาดที่น่าสนใจคือตลาดหุ้นเวียดนามที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดในปีที่ผ่านมา แม้ว่าในระยะสั้นดัชนี Vietnam Index จะปรับตัวลดลงเหมือนกับตลาดหุ้นอื่นๆ แต่ให้มองว่าเป็นโอกาสที่จะเข้าลงทุนในระยะกลาง เพราะถ้าราคาหุ้นสูงขึ้นต่อเนื่องก็ยังไม่ใช่จังหวะที่จะเข้าซื้อเช่นกัน
สำหรับตลาดหุ้นเวียดนามมีความน่าสนใจในการลงทุนแนว Growth ซึ่งต่างจากหุ้นเทคโนโลยีจีนที่น่าสนใจในแง่ของ Valuation เนื่องจากเวียดนามเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอันดับต้นๆของโลก และได้กลายเป็นฐานการผลิตและส่งออกที่สำคัญในภูมิภาคนี้ไปแล้ว
มีโอกาสสูงที่ตลาดหุ้นเวียดนามจะเติบโตไปได้อีกหลายปี การย่อตัวลงมาระดับ 6-7% จากจุดสูงสุดถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่เคยลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามมาก่อนจะสามารถซื้อเพื่อถือต่อระยะยาวได้
สำหรับตลาดหุ้นไทยแม้จะยังได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด แต่ถือว่ามีความน่าสนใจในการลงทุนระดับปานกลางจากการที่ไม่ได้รับผลบวกจากการอัดฉีดสภาพคล่องมากนัก กล่าวคือนักลงทุนต่างประเทศยังไม่ได้เข้าซื้อหุ้นไทยมากนัก ถ้าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว SET Index ก็อาจจะเป็นหนึ่งในเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติเช่นกัน
แต่ Valuation ของหุ้นไทยก็ไม่ได้ถูกมากนักโอกาสที่จะเห็น SET Index เติบโตได้เกินกว่าจุดสูงสุดเดิมก่อนเกิดไวรัสโควิดต้องขอให้บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ที่อัตราการเติบโตเริ่มจำกัดเกิด New S Curve ของตัวเองขึ้นด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีหรือธุรกิจใหม่ที่สามารถสร้าง Growth Story ใหม่ได้ เราจึงจะได้มีโอกาสเห็น SET Index สร้างจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง แต่ถ้าหากยังไม่เกิด เราคงคาดหวังว่าจะกลับไปยังจุดเดิมก่อนเกิดวิกฤติเท่านั้น