สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดสำหรับการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี่นั่นคือ ‘ความรู้ทางด้านบล็อคเชน’ เพื่อที่จะได้รู้ว่าเทคโนโลยีฐานข้อมูลไร้ตัวกลางนั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง และหลังจากที่ Creative Investment Space ได้อธิบายถึงที่มามูลค่าของเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี่, การทำงานของบล็อคเชน, สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) และระบบการเงินกระจายศูนย์อย่าง DeFi กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราจะมาดูกันว่าการสร้างรายได้ในโลกของคริปโตฯ มีวิธีใดบ้าง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบให้นักลงทุนพิจารณาดูว่าแนวทางใดที่เหมาะสมกับตัวคุณมากที่สุด
การซื้อเหรียญคริปโทฯ เพื่อเก็งกำไร
วิธีการสร้างรายได้จากคริปโตเคอร์เรนซี่ ที่ง่าย และเป็นที่แพร่หลายมากที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งสามารถซื้อขายได้ผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) หรือนายหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker) โดยในปัจจุบันนั้นได้มีศูนย์ซื้อขาย และนายหน้าที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ในการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่หลายราย อย่างเช่น BITKUB, Zipmex, Satang Pro ที่ทำธุรกิจศูนย์ซื้อขาย และ Bitazza กับ KULAP ที่ทำธุรกิจทางด้านนายหน้า
แม้ว่าตลาดคริปโทเคอร์เรนซี่จะเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยในปี 2021 ที่ผ่านมา มูลค่ารวมของตลาดมีการเติบโตจาก 25 ล้านล้านบาท (1 มกราคม 2021) ทะยานไปสู่ 74 ล้านล้านบาท (31 มกราคม 2021) ซึ่งคิดเป็น 193% ในเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น แต่ก็หากเลือกลงทุนโดยไม่ศึกษาพื้นฐานของเหรียญ หรือข้อมูลของราคาย้อนหลังอาจทำให้คุณต้องสูญเงินเป็นจำนวนมหาศาลได้เช่นกัน เพราะเป็นตลาดคริปโทฯนั้นมีความผันผวนของราคาที่ค่อนข้างสูง การวางแผนการการลงทุน และการบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับตลาดคริปโทฯ
การขุดเหรียญ (Crypto Mining)
ย้อนกลับไปในปี 2009 ที่เหรียญคริปโทฯ ตัวแรกอย่างบิตคอยน์ (Bitcoin) ถือกำเนิดขึ้นมา นายซาโตชิ นาคาโมโตะ ได้สร้างระบบ ‘บิตคอยน์บล็อคเชน’ ระบบการเงินไร้ตัวกลางที่ให้ผู้คนในเครือข่ายคอยยืนยันความถูกต้องในการทำธุรกรรม โดยให้คนในเครือข่ายแข่งกันแก้สมการคณิตศาสตร์ขั้นสูงเพื่อที่จะได้แย่งชิงกันว่าใครจะเป็นผู้มีสิทธิ์ในการยืนยันธุรกรรม และเพิ่มบล็อคข้อมูลใหม่ลงไปยังระบบ ซึ่งรางวัลของผู้ที่ได้รับสิทธิ์ในการยืนยันความถูกต้องคือเหรียญบิตคอยน์ส่วนหนึ่งที่ได้ถูกเพิ่มขึ้นมาในระบบ กระบวนการดังกล่างนั้นคือ ‘การขุดเหรียญ’ ที่เรารู้จักกันนั่นเอง
หากการซื้อขายเหรียญคือการได้มาของเหรียญคริปโทฯ ที่อยู่ในระบบอยู่แล้ว ‘การขุด’ ก็คือการเพิ่มเหรียญเข้าไปในระบบ ซึ่งตัวเรานั้นสามารถที่จะเลือกได้ว่าจะเป็นผู้ยืนยันธุรกรรมของบล็อคเชนเครือข่ายใด ยกตัวอย่างเช่น หากเรายืนยันธุรกรรมของบิตคอยน์บล็อคเชน เราก็จะได้รับเหรียญบิตคอยน์มาเป็นรางวัล แต่หากเรายืนยันธุรกรรมของอีธีเรียมบล็อคเชน เราก็จะได้เหรียญอีธีเรียมมาแทน
ซึ่งบล็อคเชนที่ใช้ระบบการยืนยันโดยการขุดเราเรียกว่าระบบ ‘Proof Of Work’ หรือการใช้กำลังไฟฟ้าเป็นตัวยืนยันความถูกต้องในการทำธุรกรรม ในปัจจุบันบล็อคเชนของเหรียญคริปโทฯ ที่ยังคงใช้ระบบ Prook of work ได้แก่ Bitcoin, Ethereum, Dogecoin, Litecoin และเหรียญอื่นๆ อีกมากมาย
โดยการที่จะขุดเหรียญนั้นจำเป็นจะต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรมขุดเหรียญ ซึ่งแต่ละเหรียญก็จะใช้โปรแกรมที่แตกต่างกันออกไป และความเร็วในการประมวลผลนั้นขึ้นอยู่กับ ‘ความแรงของการ์ดจอ’ ที่การ์ดจอที่แรงกว่าก็จะให้ความเร็วในการประมวลผลที่มากกว่า หรือการใช้เครื่องขุดสำเร็จรูปอย่าง Application-Specific Integrated Circuit (ASIC) ก็สามารถใช้งานได้เช่นกัน แต่แน่นอนว่ากำลังในการขุดก็จะน้อยกว่า และกินไฟมากกว่า อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการลงทุนในเครื่องขุดเองอย่าง Cloud Mining ที่ว่าจ้างให้คนอื่นขุดให้ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย
ผู้ที่จะลงทุนในเครื่องขุดจึงควรที่จะคำนวนต้นทุน และผลตอบแทนที่ได้รับให้ดีเพราะนอกจากจะต้องจัดเตรียมพื้นที่สำหรับเครื่องขุด และบิลค่าไฟที่จะตามมาอย่างมหาศาลแล้วนั้น เหรียญบางเหรียญยังได้ถูกออกแบบให้ลดรางวัลที่ได้จากการขุดตามเวลาที่มากขึ้นอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น บิตคอยน์ ที่จะมีเหตุการณ์ที่เรียกว่า ‘ฮาล์ฟวิ่ง (Halving)’ หรือการลดผลตอบแทนที่ได้จากการขุดครึ่งหนึ่งทุกๆ 4 ปี ส่งผลให้การได้มาของบิตคอยน์นั้นยากขึ้นกว่าเดิม โดยการฮาล์ฟวิ่งครั้งล่าสุดนั้นเกิดขึ้นในปี 2020 ที่ให้ลดผลตอบแทนจาก 12.5 เหลือ 6.25 บิตคอยน์ต่อหนึ่งบล็อค แต่นั่นก็เป็นกลไกที่ทำให้ราคาของบิตคอยน์พุ่งสูงขึ้นเช่นกัน เพราะปริมาณของบิตคอยน์ได้ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่วันแรกที่มันถือกำเนิดว่าจะมีเพียงแค่ 21 ล้านบิตคอยน์ทั่วโลกเท่านั้น
ลงทุนใน Yield Farming ของ DeFi
ระบบการเงินไร้ตัวกลางหรือ DeFi นั้นกำลังส่งสัญญานเตือนไปธุรกิจการเงินดั้งเดิม ว่า ‘เทคโนโลยี DeFi นี่แหละที่อาจจะมาเป็นปฏิวัติวงการการเงิน’ ด้วยการใช้งานสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ที่ตัดความผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error) ออกไปได้อย่างสมบูรณ์ จนทำให้เกิดแอพลิเคชั่นไร้ตัวกลางทางด้านการเงิน ที่มีเพียงโค้ดคำสั่งที่ซื่อตรง และนักพัฒนาที่คอยกำหนดทิศทางของแพลตฟอร์มเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ได้กระจายศูนย์อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็มากกว่าธุรกิจการเงินในแบบดั้งเดิม
บริการหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนคือการฝากเหรียญคริปโทฯ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับแพลตฟอร์มเพื่อรับผลตอบแทน หรือที่เรียกว่า Yield Farning นั่นเอง โดยแพลตฟอร์มอย่าง Anchor ของ Terra Chain สามารถให้ผลตอบแทนได้ถึง 20% ต่อปีเลยทีเดียว
รับ Airdrop เหรียญจากการทดลองใช้งานแพลตฟอร์ม
หลังจากที่ DeFi ได้รับความนิยมอย่างมากในแวดวงของผู้คนที่ลงทุนในคริปโทฯ ทำให้เกิดแอพพลิเคชั่นไร้ตัวกลาง (Decentralize Application) เกิดขึ้นมากมาย ส่งผลให้บางแพลตฟอร์มที่พึ่งเปิดให้บริการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดในการโปรโมต ด้วยการมอบเหรียญของแพลตฟอร์มบางส่วนให้กับผู้ที่ทำตามเงื่อนไขที่แพลตฟอร์มกำหนด อย่างเช่นการลองเข้าไปใช้บริการแพลตฟอร์ม หรือถือครองเหรียญของแพลตฟอร์มในระยะเวลาที่กำหนด โดยในภาษาของโลกคริปโทฯ วิธีการดังกล่าวเรียกว่า ‘การรับ Airdrop เหรียญ’
ซึ่งเหรียญที่ได้รับมานั้นจะมีมูลค่าที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบริการของแพลตฟอร์มว่าจะโดดเด่นมากน้อยเพียงใดไหน โดยมีตั้งแต่ Airdrop หลักร้อยไปจนถึงหลักล้านเลยทีเดียว อย่างกรณีที่เกิดขึ้นกับ dYdX แพลตฟอร์มที่ให้บริการซื้อขายอนุพันธ์ไร้ตัวกลางของ Ethereum Blockchain ที่จะมอบเหรียญ dYdX ให้กับผู้ที่ได้เข้าไปทดลองใช้บริการของแพลตฟอร์ม โดยผู้ใช้งานระดับต่ำสุดจะได้รับ 310 โทเคน และผู้ใช้งานระดับสูงสุดจะได้รับอยู่ที่ 9,529 โทเคน ซึ่งในวันแรกของการเข้าตลาด ราคาของเหรียญ dYdX ได้ทะยานไปอยู่ที่ 14.24 ดอลลาร์สหรัฐฯ นั่นหมายความว่าผู้ใช้งานระดับต่ำสุดจะได้รับเงินเกือบ 150,000 บาท และผู้ใช้งานระดับสูงสุดได้รับมากถึง 4,500,000 บาท เลยทีเดียว การติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการรับ Airdrop เหรียญจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยเลย
จะเห็นได้ว่าในโลกของคริปโทเคอร์เรนซี่ ผู้ที่ศึกษาเทคโนโลยีบล็อคเชนอย่างถ่องแท้ จะสามารถเข้าถึงโอกาสในการสร้างรายได้จากโลกคริปโทฯ ได้มากกว่าการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ทั้งนี้อยากให้นักลงทุนลองพิจารณาดูถึงแนวทางทั้ง 4 ที่ Creative Investment Space ได้ลองเสนอไปว่า วิธีการลงทุนในโลกคริปโทฯ แบบใดที่เหมาะกับคุณ เพราะการลงทุนในสิ่งที่คุณเชี่ยวชาญย่อมที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับคุณได้มากที่สุด แต่การศึกษาถึงแนวทางอื่นก็เป็นทางเลือกที่สร้างโอกาสให้คุณได้อีกมากมายมหาศาลได้อีกเช่นกัน
ที่มา:
https://www.sec.or.th/digitalasset
https://mgronline.com/stockmarket/detail/9650000002483