ในภาวะที่ตลาดคริปโตเป็นขาลงประกอบกับการล่มสลายลงของโปรเจกต์คริปโตชื่อดังอย่าง Terra Chain ทำให้เกิดปรากฎการณ์ที่แพลตฟอร์มต่างๆในโลกคริปโตประสบปัญหาสภาพคล่อง ไม่ว่าจะเป็น Celsuis Network ผู้ให้บริการกู้ยืมคริปโต BlockFi ผู้ให้บริการ Exchange และกระเป๋าเงินดิจิทัล
.
จนกระทั่งทำให้นักลงทุนสถาบันรายใหญ่หรือ Hedgefund ที่ลงทุนในคริปโตอย่าง Three Arrows Capital ลามไปจนถึง Voyager Digital ซึ่งเป็นผู้ที่ปล่อยกู้ให้กับ Three Arrows Capital ไปลงทุนต่อต้องถึงกับล้มละลายทั้งคู่
.
การล้มละลายของ Three Arrows Capital ยังทำให้รู้ความจริงอีกว่ากองทุนนี้ไม่ได้ลงทุนใน Early Stage ของโปรเจกต์คริปโตเท่านั้น แต่ยังเป็นนักเก็งกำไรในเหรียญต่างๆรวมถึงใช้เงินกู้มา Leverage ผลตอบแทนอีก เมื่อเหรียญที่เข้าไปลงทุนอย่าง LUNA ปรับตัวลดลงกว่า 90% รวมถึงเหรียญอื่นๆในตลาดที่ปรับตัวลง 70-80% ทำให้ต้องถูกบังคับชำระหนี้จนขาดสภาพคล่อง
.
ขณะที่ผู้ให้กู้อย่าง Voyager Digital ที่ล้มละลายและยุติการให้บริการไปจนกระทบต่อผู้ใช้งานเป็นจำนวนมากซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนว่าแพลตฟอร์มที่ตนเองนำเงินมาฝากเพื่อรับผลตอบแทนจะนำเงินไปลงทุนกับกองทุน Hedgefund ซึ่งมีความเสี่ยงสูงอีกต่อหนึ่ง
.
สิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากบทเรียนนี้คือในโลกของการเงินไม่ว่าจะเป็นการเงินดั้งเดิมหรือในโลกของสินทรัพย์ดิจิทัลมักจะมีปัญหาเรื่องของ “ความโปร่งใส” ในการบริหารจัดการ เช่นเดียวกับในปี 2009 ที่เกิดวิกฤติซับไพร์มที่แต่ละสถาบันการเงินต่างเข้าไปลงทุนและเสนอขายตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงจนกระทั่งราคาสินทรัพย์ที่ถืออยู่ด้อยค่าลงทำให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง และผู้ที่ฝากเงินในธนาคารที่ล้มละลายไปต้องประสบความเสียหายโดยที่เขาเองไม่ได้รู้เลยว่าเงินที่นำไปฝากนั้นนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง
.
นอกจากประเด็นเรื่องของความโปร่งใสแล้ว อีกบทเรียนที่เกิดขึ้นคือการเพิ่มผลตอบแทนด้วยการกู้หรือ Leverage นั้นยังเป็นต้นเหตุของวิกฤติการเงินในทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นการเงินดั้งเดิมหรือในโลกของคริปโต เรามักจะได้เห็นข่าวที่นักเทรดรายย่อยเสียหายจากการเทรดเนื่องจากใช้อัตราทดในระดับสูง เมื่อตลาดมีการเหวี่ยงตัวหรือผันผวนสูงจะทำให้เกิดการบังคับขายหรือ Liquidate เกิดขึ้น แต่ในที่สุดแม้แต่นักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่ที่มีเงินลงทุนมหาศาลยังสามารถขาดทุนจาก Leverage ได้
.
สถานการณ์ตลาดคริปโตในตอนนี้เรากำลังเห็นสภาพคล่องในตลาดที่เริ่มแห้งเหือดไปเรื่อยๆไม่ว่าจะเป็นเม็ดเงินลงทุนใน DeFi หรือ NFT ที่ลดลงจากจุดสูงสุดเป็นอย่างมาก เราไม่อาจที่จะวางใจได้ว่าจะมีกองทุนหรือแพลตฟอร์มอื่นๆที่จะมีปัญหาขาดสภาพคล่องและล้มละลายไปอีกหรือไม่
.
ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีกอาจจะส่งผลกระทบในวงกว้าง ถ้าหากแพลตฟอร์มต่างๆมีการลงทุนระหว่างกัน หากแพลตฟอร์มใดล้มไปก็อาจจะเกิดโดมิโนเอฟเฟคท์ขึ้นได้ เราอาจจะได้เห็นการปรับตัวลงต่อของตลาดอีกก็เป็นได้
.
สิ่งที่นักลงทุนจะเรียนรู้ได้ก็คือการใช้ Leverage อย่างเหมาะสมรวมถึงการกระจายความเสี่ยงแพลตฟอร์มในการลงทุนคริปโตไม่ไปกระจุกรวมกันอยู่ในเหรียญใดเหรียญหนึ่งหรือแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง เพราะหากเกิดปัญหาขึ้น เงินลงทุนของเราอาจจะสูญไปทั้งหมดก็เป็นได้ จนกว่าจะมีกฎระเบียบที่เข้ามาควบคุมดูแลตลาดคริปโตเช่นเดียวกับโลกการเงินดั้งเดิม