จากประเด็นเงิน 12 ล้านที่ถูกพบข้างถังขยะ คอนโดเมืองทองธานี เมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา คนไทยที่ใส่ใจต่อข่าวนี้ล้วนตั้งคำถามไปในทิศทางเดียวกันว่า ใครเป็นเจ้าของเงิน ลืมหรือตั้งใจทิ้ง คำตอบของคำถามทั้งหมดนั้นจะนำมาซึ่งการตรวจสอบย้อนหลังของที่มาเส้นเงิน และปลายทางของเงินจำนวนนั้น
หลังการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเจ้าของเงินคือ นายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว ตำแหน่งที่ปรึกษาบอร์ด กสทช. และยังเป็นคณะอนุกรรมการการศึกษาและวิเคราะห์กรณีการควบรวมธุรกิจระหว่าง TRUE และ DTAC
ล่าสุด ตำรวจเปิดเผยเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 ว่า เงินจำนวน 12 ล้านบาทนั้น ถูกทยอยเบิกจากบริษัท 4 แห่ง ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับนายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว และเงินถูกโอนมาจากบริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ที่ประกอบกิจการผลิตวัสดุก่อสร้าง กิจการปิโตรเคมี โรงงานกำจัดขยะ และบริษัทอุตสาหกรรมนั้นยังมีบทบาทในการผลักดันโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ
เรื่องเงิน 12 ล้าน ไม่ใช่แค่ปริศนาซึ่งฝ่ายที่เกี่ยวต้องแกะรอยหาคำตอบต่อไป แต่ในกรณีของเงินที่ดูไม่มีที่มาที่ไป ถูกซุกซ่อนอยู่ในถุงขนม ไม่ว่าจะเรียกว่า เงินแป๊ะเจี๊ยะ เงินใต้โต๊ะ ส่วย สินน้ำใจ ค่าดำเนินการ ค่าน้ำร้อนน้ำชา เงินทอน ค่าหัวคิว กินตามน้ำ ค่ารับรองและของขวัญ ล้วนแล้วแต่เข้าข่ายการรับสินบนทั้งสิ้น
นอกจากคดีเงินสินบนที่เราได้เห็นตัวเลขอย่างชัดเจนแล้ว ยังมีกรณีการทุจริตคอร์รัปชันจากการปฏิบัติหน้าที่และการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งขัดต่อหลักนิติธรรมรุนแรง และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตคนไทย ซึ่งองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันได้จัดอันดับไว้ 10 กรณีสำหรับปี 2567 ได้แก่
1. การลดโทษ พักโทษ มอบอภิสิทธิ์ให้นักโทษคดีโกงชาติ จากประเด็นนักโทษชั้น 14 ที่ไม่เคยนอนเรือนจำและนักโทษคดีจำนำข้าว
2. ไฟไหม้รถนำเที่ยวเด็กนักเรียน สูญเสีย 22 ชีวิต ที่ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือนก็ไม่มีการพูดถึง และยังไม่มีเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบกคนใดรับผิดชอบกับความสูญเสียในครั้งนั้น
3. คดีนายอิทธิพล คุณปลื้ม โดยศาลคอร์รัปชันชี้ว่า “ผิดจริง” แต่ยกฟ้องเพราะคดีขาดอายุความ
4. ฮุบที่รถไฟเขากระโดง สะท้อนการถูกทำลายของหลักนิติธรรมในประเทศ เมื่ออิทธิพลนักการเมืองใหญ่เหนือคำพิพากษาศาลฎีกา และศาลปกครองสูงสุด
5. สัมปทานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โดยโครงการมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาทนี้ พ่วงด้วยสิทธิ์บริหารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรลลิงก์ และที่ดินย่านมักกะสัน แม้การประมูลจบไปแล้ว 5 ปี แต่รัฐยังเปิดให้เอกชนเจรจาแก้สัญญาไม่รู้จบ พร้อมเฉือนประโยชน์รัฐเพิ่มเรื่อย ๆ ขัดต่อหลักพื้นฐานการประมูลงานภาครัฐอย่างเป็นธรรม
6. ฮุบป่า รุกที่ ส.ป.ก. หลายแสนไร่ทั่วประเทศ รัฐบาลมีนโยบาย ส.ป.ก. ทองคำ แก้กฎหมายให้ ส.ป.ก.เป็นโฉนดใช้ทำกินได้แทบทุกอย่าง ทั้งซื้อขายสิทธิ์และจำนองธนาคารได้ ขณะนี้ ที่ดิน ส.ป.ก. กว่าร้อยละ 30 อยู่ในมือนายทุน
7. ขุน/ขนย้ายกากแร่แคดเมียม
8. หมูแช่แข็งเถื่อน เป็นการทำลายความมั่นคงทางอาหารของชาติ
9. ปลาหมอคางดำ และ 10. ดิ ไอคอน
ข่าวทุจริตเหล่านี้สามารถสะท้อนปัญหาของสังคมไทยได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรื่องเกิดขึ้นกับหน่วยงานที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริต หรือหน่วยงานกำกับดูแลผลประโยชน์ของรัฐ
แม้โลกจะมีวิวัฒนาการไปไกลแค่ไหนก็ตาม ทว่า ปัญหาการทุจริต คอร์รัปชัน ยังคงเป็นเรื่องที่ยึดโยงกับสังคมไทยแทบทุกยุคทุกสมัย และส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ
มีข้อมูลระบุว่า เศรษฐกิจไทยสูญเงินไม่ต่ำกว่าปีละ 300,000 ล้านบาท จากสาเหตุคอร์รัปชัน และในแต่ละปีมีการจ่ายใต้โต๊ะปีละ 7,500 ล้านบาท ในการทุจริตในโรงเรียน ระบบอุปถัมภ์ การฮั้วประมูล การทุจริตในโครงการรัฐวิสาหกิจ
ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ลดความน่าเชื่อถือของไทยต่อนานาประเทศ กระทบเศรษฐกิจทั้งระบบ ตั้งแต่ฐานรากถึงมหภาค
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เคยออกคำแนะนำว่า ปัญหาทุจริต คอร์รัปชัน เป็นปัญหาที่ทุกภาคส่วนต้องเร่งฟื้นฟูโดยเฉพาะในมิติของความน่าเชื่อถือของประเทศ ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อความยั่งยืนของภาคธุรกิจ ระบบเศรษฐกิจ และสังคมไทย
ภาคธุรกิจ ต้องสร้างความร่วมมือในห่วงโซ่ เช่น องค์กรกำกับ คู่ค้า พนักงาน ลูกค้า และนักลงทุน เพื่อยกระดับธรรมาภิบาล จากที่ไม่ได้รับการใส่ใจ เปลี่ยนให้เป็นการยึดถือและปฏิบัติอย่างเข้มข้น
ภาคประชาชน ผู้บริโภค ร่วมสนับสนุน ส่งเสริม และต่อต้านธุรกิจที่ยอมจำนนต่อการทุจริต มีพฤติกรรมสร้างภาพหรือฟอกขาว
ภาคการเมือง ทุกพรรค ทุกฝ่าย ต้องร่วมมือกันผลักดันการจัดการปัญหานี้ ให้เป็นวาระเร่งด่วน แม้องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันจะเคยเสนอต่อภาครัฐให้จัดตั้ง “วอร์รูมต่อต้านคอร์รัปชัน” เพื่อแก้ปัญหานี้ แต่กลับไม่มีความคืบหน้า
นอกจากนี้ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI) ได้ประกาศคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ประจำปี 2024 จากจำนวน 180 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศเดนมาร์ก ครองอันดับ 1 ของโลก ด้วยคะแนนสูงสุด 90 คะแนน ในขณะที่ประเทศไทยได้ 34 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลก และอยู่ในอันดับที่ 5 ของกลุ่มประเทศอาเซียน (10 ประเทศ) ซึ่งประเทศสิงคโปร์ได้คะนนสูงสุดคือ 84 คะแนน จัดอยู่ที่อันดับที่ 3 ของโลก
คะแนนดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ไทยได้คะแนนเพิ่มขึ้น หรือมีการตระหนักรู้และให้ความสำคัญกับปัญหาทุจริตมากขึ้น แต่กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอที่จะได้อันดับดีกว่านี้ เนื่องจากยังมีประเด็นเรื่องความไม่โปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ ที่สะท้อนถึงปัญหาการบริหารงบประมาณที่ขาดประสิทธิภาพและอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ
คำถามคือ เมื่อไหร่ไทยจะหลุดพ้นจากความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการทุจริตคอร์รัปชันเช่นนี้ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ภาครัฐจะจริงจัง เข้มงวด และไม่เมินเฉยต่อเรื่องน่าไม่อาย ที่ลดทอนความน่าเชื่อถือของประเทศ ต้องยอมรับว่า ภาครัฐจะเป็นเยี่ยงอย่าง และเป็นแกนนำที่ดีในการที่จะเริ่มต้นต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันในทุกรูปแบบ แน่นอนว่าภาคเอกชน ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการต่อสู้กับความไม่ถูกต้องเหล่านี้ด้วยเช่นกัน