จากกรณีที่ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “พิชัย ชุณหวชิร” ได้กล่าวถึงแนวทางที่รัฐบาลกำลังให้การสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) โดยได้ศึกษา และดำเนินแนวทางการออก Government Token: G-Token ซึ่งในระยะถัดมารัฐบาลเตรียมจะผลักดันให้ G-Token ซึ้อสินค้าในประเทศได้ โดยผ่านการผูกกับบัตรเครดิต ลักษณะคล้ายกันกับในต่างประเทศที่มีการใช้บัตรเครดิตคริปโท ในการซื้อสินค้า ซึ่งหากจะดำเนินการรัฐบาลต้องหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อขออนุญาตให้ G-Token ซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ เช่นเดียวกับสกุลเงิน จากเนื้อหาดังกล่าว เกิดแรงกระเพื่อมกับตลาดคริปโท และหลายคนที่สนใจเรื่องนี้พอสมควร
ข้อดี ข้อเสีย ในมุมมองของผู้เขียน
[ข้อดี] : เพิ่มช่องทางรับเงิน นักท่องเที่ยวสามารถใช้เงินในประเทศไทยง่ายขึ้น สามารถเชื่อม ตลาดหุ้นและตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าด้วยกันได้
ท่านพิชัยได้พูดเรื่องการเชื่อม 2 ตลาดไว้ด้วย ซึ่งอาจจะต้องมาดูในขั้นตอนการแก้กฎหมาย อาจจะเป็นข้อดีสำหรับรายบุคคล แปลว่าทางเลือกของการลงทุนสินทรัพย์ดิจิตอล จะเพิ่มขึ้นง่ายมาก ๆ ผ่านทางแอป Streaming และถ้าบุคคลนั้น ๆ คัดเลือกลงทุนเป็นงาน ก็ถือว่ามีโอกาสในสินทรัพย์อีกรูปแบบหนึ่ง
รวมถึงพอร์ตของนักลงทุนไทยมือเก๋า ๆ หลักร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้านบาท จะทำให้เข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ได้ตัดช่องทางอื่น โดยกลุ่มนี้ไม่ต้องไป re-learn การใช้แพลตฟอร์มใหม่ ๆ อีกรอบ
[ข้อเสีย] : เงินน่าจะไหลออกจากหุ้นเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือ เงินไหลออกจากตลาดทุนไทย ทั้ง SET และ MAI ง่ายขึ้นอีก และอีกขอคือถ้าสามารถนำหุ้นไทยหรือสินทรัพย์ดิจิทัลมาค้ำ ทำจำนำหุ้น หรือทำบัญชีมาร์จิ้น และ ถ้าระบบการทำ Oracle (คร่าว ๆ การเชื่อมฐาน database ตัวเลขและราคา ต่าง ๆ) ผิดพลาดก็มีโอกาสที่จะเสี่ยวอยู่ไม่น้อย
Q & A
Q : คริปโทผันผวนจะตาย? วันนึง มี 100 บาท เดี๋ยวพุ่งไป 120 บ. เดี๋ยวลงมาเหลือ 50 บ. แล้วจะคำนวณการใช้จ่ายยังไง
A : กลไกมันคือ Stablecoin (สเตเบิลคอยน์) หรือ สกุลเงินดิจิทัลที่ตรึงราคา ให้เสมือน สกุลเงินประเทศ ต่าง ๆ ราคา 1 ต่อ 1 เช่น USD ก็เป็น USDT/USDC
การทำงานของ สเตเบิลคอยน์ คือ ผู้ออก Stablecoin จะถือสินทรัพย์ Fiat (เช่น เงินสด, พันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น, ตราสารหนี้) จำนวนเท่ากับมูลค่าของ Stablecoin ที่หมุนเวียนอยู่ในตลาด เพื่อค้ำประกัน มูลค่าไว้
.
Q : ฟอกเงิน?
A : FATF, FinCEN, ก.ล.ต. หลายประเทศ บังคับให้บริษัทบัตรคริปโตทำ KYC/AML เข้มมาก
ถ้าทีม รมต. คลัง คัดเลือก Crypto Credit Card service provider เบอร์ต้น ๆ ของโลก อย่าง Binance / Crypto .com / Coinbase เป็นต้น ก็คงไม่น่าห่วงอะไร
และ provider เหล่านี้ จะประยุกษ์เชื่อมกับ VISA / Mastercard รับคริปโตเป็นสื่อได้หมดแล้ว
ประเทศอย่าง อเมริกา, สวิตเซอร์แลนด์, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, เนเธอร์แลนด์ ,European Union & สิงคโปร์ ฯลฯ กลุ่มนี้ผลักดันให้ กฎระเบียบ MiCA (Markets in Crypto-Assets) ผ่าน และใช้งานได้หมดแล้ว
.
Q : การฟอกเงินทำได้อย่างไร ?
A : การฟอกเงินอาจทำได้ง่ายด้วยการสร้างใบเสร็จปลอมสำหรับธุรกิจที่รับชำระด้วยเงินสด ผู้ต้องการฟอกเงินจะทำการจ่ายเงินสำหรับใบเสร็จรับเงินเหล่านี้ด้วยเงินที่สกปรก ซึ่งดูเหมือนเป็นรายได้ที่ถูกกฎหมาย ซึ่งสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโท ทำให้กระบวนการเหล่านี้ซับซ้อนและติดตามได้ยากยิ่งขึ้น (Ref. BINANCE TH)
.
Q : รับเงินเทา?
A : อาจจะเป็นไปได้ อยู่ที่ว่า 1. ให้ใช้ได้แค่ไหนแบบไม่ต้อง KYC (Know Your Customer) (คือการที่ ผู้ใช้งานแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อยืนยันว่าพวกเขาเป็นใคร) ซึ่งปัจจุบัน บัตรเครดิตการ์ดรูปแบบคริปโท แทบไม่มีเลย รูปแบบที่ไม่ต้องยืนยันตัวเองครับ
ยกเว้นพวก เครือ provider ที่ไร้ชื่อเสียง ให้บริการแบบเทาๆ อาจจะไม่ต้อง KYC ซึ่งก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควร
2. ยังไงก็ต้อง KYC เพราะฉะนั้นคงหนีไม่รอด ตัวอย่างของเครือคนไทย อย่าง Bitazza ก็ทำเครือบัตรเดบิตการ์ดอยู่ คือ Freedom Card ซึ่งโดน KYC แบบเต็ม ๆ เช่นกัน
.
Q : หนีภาษี หลบภาษี?
A: ตามเพิ่มเติมจากรายละเอียดข้างบนนะครับ … ถ้าคัดเลือก Crypto Credit Card service provider มาแล้ว ก็สามารถจะบังคับผูกอย่างน้อย ๆ ก็ ส่วนของ #ภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT ได้สบาย ๆ
เพราะ การที่ผูกระบบเข้ากับบัตรเครดิตก็คือการเชื่อมกับ การเงินดั้งเดิมผ่าน VISA / Mastercard ซึ่งก็เป็นหน่วยสกุลเงิน fiat แบบ เงินบาท ดอลล่าร์ หยวน เยน
.