Pi Daily จาก บล. พาย ได้ระบุถึงปัจจัยในประเทศวันศุกร์ที่ผ่านมา ว่าตลาดหลักทรัพย์ได้เผยแนวทางสนับสนุนตลาดทุนด้วยแนวคิด “TISA” หรือ Thailand individual saving ขึ้น เป็นโครงการที่จะให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและนำเม็ดเงินเหล่านั้นมาลดหย่อนภาษีได้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องถือจนถึงวัยเกษียณ
ซึ่ง TISA เป็น Model ที่เคยเกิดขึ้นแล้วในตลาดหุ้นญี่ปุ่น ภายใต้ชื่อว่า NISA ที่จะให้ประชาชน (นักลงทุนรายย่อย) เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและนำเงินดังกล่าวไปลดหย่อนภาษี ผลลัพธ์ที่ได้คือมูลค่าลงทุนผ่าน NISA สูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยปี 2015 อยู่ที่ 6.4 ล้านล้านเย็น ปี 2020 อยู่ที่ 21.6 ล้านล้านเยนและปี 2024 อยู่ที่ 45 ล้านล้านเยน ผลกระทบต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นพบว่าโครงการ NISA ที่เกิดขึ้นในปี 2014 จึงทำให้ในปีดังกล่าวตลาดหุ้น Nikkei +17% เทียบกับ MSCI world ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 4.3%
แต่อย่างไรก็ตาม อาจจะต้องรอติดตามเกณฑ์กันอีกที หากกำหนดให้ถือหุ้นยาวจนเกษียณก็อาจเป็นระยะเวลาที่ยาวนานและทำให้มีผู้มาลงทุนไม่ได้เยอะมาก แต่ทั้งนี้ คาดว่าหุ้นขนาดใหญ่จะได้รับผลบวก (SET50 , SET100)
ในส่วนของปัจจัยที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ บล.พาย ได้ให้ข้อมูลไว้ ดังนี้ เงินเฟ้อสหรัฐฯ ในคืนวันพุธช่วงเวลา 19.30 ตามเวลาประเทศไทย ซึ่ง Bloomberg Consensus ได้ประเมินไว้ที่ 2.9%YoY , 0.3%MoM ถัดมาคือ ดัชนีราคาผู้ผลิตของสหรัฐฯในคืนวันพฤหัสบดี ที่ Bloomberg คาดไว้ที่ 0.3%MoM ประเมินกรอบ SET INDEX ที่ 1185 – 1230 โดยกลยุทธ์การลงทุนนั้นยังแนะนำให้สะสมแต่เน้นหุ้นขนาดใหญ่ตามความสามารถในการแข่งขันที่สูง อาทิ ส่งออก (ITC TU) ศูนย์การค้า (CPN) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ท่องเที่ยว (BA CENTEL MINT) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB)