วายแอลจีชี้ ทองคำยังมีโอกาสไปต่อ เหตุธนาคารกลางจีนกลับลำเข้าซื้อทองคำครั้งแรก หลังหยุดซื้อไปนาน 6 เดือน คาดการเคลื่อนไหวนี้อาจส่งผลต่อธนาคารกลางอีกหลายประเทศให้เร่งสะสมทองคำรองรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายจากโดนัลด์ ทรัมป์ นักวิเคราะห์คาดปีหน้าเป้าหมาย 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ มีโอกาสเป็นไปได้ ส่วนทองคำในประเทศเป้าหมาย 50,000 บาทต่อบาททองคำยังมีลุ้น หากแนวโน้มบาทอ่อนหนุน
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่าช่วงเดือน พ.ค. 2567 ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้หยุดการซื้อสะสมทองคำเพื่อเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ หลังจากที่ซื้อติดต่อกันมาตั้งแต่ปี 2564 เป็นระยะเวลา 18 เดือน อย่างไรก็ดีในช่วงที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้หยุดทำการสะสมทองคำ จากนั้นราคาทองคำก็ยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องสามารถขึ้นไปทำจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 2,790 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์
จนกระทั่งเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ราคาทองคำได้สลับมาปรับฐานลง ส่งผลให้ PBOC ได้กลับเข้ามาซื้อทองคำอีกครั้ง หลังจากหยุดพักไปเป็นเวลา 6 เดือน โดยเข้าซื้อที่จำนวน 1.6 แสนทรอยออนซ์ ส่งผลให้มีทองคำสะสมอยู่ที่ 72.96 ล้านทรอยออนซ์ อ้างอิงข้อมูลจากสภาทองคำโลก (WGC) ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า PBOC ได้หยุดซื้อเมื่อราคาทองคำเริ่มปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับสูง และกลับมาเข้าซื้อเมื่อราคาเริ่มปรับลดลงมา จึงคาดว่า PBOC ไม่ได้มีนโยบายหยุดซื้อทองคำเพียงแต่รอจังหวะที่เหมาะสม และนับเป็นการยอมรับในระดับราคาดังกล่าวแล้ว
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการเริ่มเข้าสะสมทองคำของธนาคารขนาดใหญ่เช่น จีน อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกอีกหลายแห่งดำเนินนโยบายตามรอย เนื่องจากการกระทำของ PBOC ครั้งนี้ อาจจะเป็นผลสืบเนื่องจากนโยบายกีดกันการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะตอบโต้กลุ่มประเทศที่ต่อต้านเงินดอลลาร์สหรัฐ จึงเป็นผลให้ประเทศที่ตกเป็นเป้านโยบายต้องทำการเคลื่อนไหวเพื่อสะสมสินทรัพย์ปลอดภัย ดังนั้นการที่นักวิเคราะห์จากธนาคารชั้นนำหลายแห่งตั้งเป้าหมายว่าปี 2568 ทองคำจะยังคงพุ่งไปถึงเป้าหมาย 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์นั้น จึงยังคงเป็นไปได้แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูงก็ตาม
ส่วนราคาทองคำในประเทศไทยนั้น YLG มองว่าปี 2568 จะมีโอกาสไปถึง 50,000 บาทต่อบาททองคำตามเดิม เนื่องจากไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯ จึงตกเป็นประเทศเป้าหมายที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะดำเนินการด้านนโยบายภาษีนำเข้า จึงอาจจะส่งผลให้ค่าเงินบาทของไทยปีหน้าเคลื่อนไหวไปในทิศทางอ่อนค่า และส่งผลดีต่อราคาทองคำในประเทศ
นอกจากนี้ ระยะสั้นอาจจับตาสถานการณ์ความวุ่นวาย จากการก่อกบฏในซีเรียโดย “ฮายัต ตาห์รีร์ อัล-ชาม” หรือ HTS ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายในเครือ “อัลกออิดะห์” หลังเปิดฉากจู่โจมอย่างไม่คาดคิดจากทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย และรุกคืบยึดเมืองสำคัญจนสามารถยึด กรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรียได้สำเร็จ ส่งผลให้ ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย ได้เดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งนับเป็นการสิ้นสุดการปกครองโดย “ตระกูลอัสซาด” ที่มีอำนาจมายาวนานกว่า 50 ปี สถานการณ์ดังกล่าว จึงได้สร้างความกังวลกับหลายประเทศในตะวันออกกลาง และจึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่าจะเกิดความไร้เสถียรภาพภูมิภาคครั้งใหม่หรือไม่
อย่างไรก็ตามในปีหน้ามองว่าการลงทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนอีกหนึ่งประเภทที่เป็นการกระจายความเสี่ยงและเหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาวนั้นแนะนำสะสมแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน DCA (Dollar-Cost-Average) เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจ เพราะจะทำให้นักลงทุนสามารถสร้างวินัยการออม และเข้าถึงราคาทองได้หลากหลาย อีกทั้งปัจจุบันยังสามารถตั้งเวลาซื้อล่วงหน้าได้อีกด้วย
สำหรับนักลงทุนมือใหม่วายแอลจีแนะนำแอปพลิเคชัน Get Gold by YLG ที่วายแอลจีเปิดให้บริการสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำโดยใช้เงินลงทุนเพียง 100 บาท ได้รับการตอบรับอย่างดี เนื่องจากตอบโจทย์การลงทุนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถซื้อ-ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง เข้าถึงง่ายด้วยสมาร์ตโฟน และมีความน่าเชื่อถือ ด้านความปลอดภัย สามารถทำกำไรได้จริง โดยผู้สมัครสามารถยืนยันตัวตนพร้อมยื่นเอกสารผ่านแอปพลิเคชัน รู้ผลอนุมัติได้ภายในวันเดียว และสามารถทำการซื้อ-ขาย ทองคำได้ทันที เปิดให้ลงทุนเริ่มที่ 100 บาท ไปจนถึง 80 กิโลกรัมต่อ 1 วัน ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ที่ App Store และ Play Store หรือ LINE : @ylggetgold โทร. 0-2678-9888 #2