ROE คืออะไร?
ROE ย่อมาจาก Return on Equity คือ อัตราส่วนทางการเงินที่ช่วยวัดความสามารถในการทำกำไรของบริษัทต่อส่วนของผู้ถือหุ้นว่ามีมากน้อยเพียงใด มีค่าเป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งวิธีการคำนวณทำได้โดยนำกำไรสุทธิของบริษัท มาหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น หลังจากนั้นนำไปคูณกับ 100
.
#ตัวอย่างการคำนวณ ROE
- บริษัท A มีสินทรัพย์ 30 ล้านบาท แบ่งออกเป็นส่วนของผู้ถือหุ้น 14 ลบ. และหนี้สิน 16 ลบ. และสามารถสร้างกำไรสุทธิได้ 10 ลบ.
- ดังนั้น จะได้ค่า ROE = 10/14 = 0.71*100 จะได้ค่า ROE เท่ากับ 71 เปอร์เซ็นต์
- แปลว่า บริษัทสามารถนำเงินในส่วนของเจ้าของ 100 บาท ไปสร้างผลตอบแทนได้ 71 บาท
ซึ่งถ้า ROE > 0 หรือเป็นบวก หมายความว่าทางบริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้
ถ้า ROE < 0 หรือติดลบ หมายความว่าทางบริษัทขาดทุน ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ให้ผู้ถือ
หุ้นได้
.
#ค่า ROE ที่ดีควรเป็นเท่าไหร่
ROE ยิ่งมีค่าสูงก็ยิ่งดี
เพราะนั่นแปลว่าธุรกิจสามารถสร้างกำไรหรือผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้มาก
.
เราสามารถวัดผลการดำเนินงานของบริษัทด้วยการนำค่า ROE ปัจจุบันเทียบกับค่าในอดีต เพื่อวัดการเติบโตของกำไร หรือเปรียบเทียบกับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อดูว่าบริษัทไหนมีความสามารถในการทำกำไรให้กับผู้ถือหุ้นได้มากกว่ากัน ดังนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่จึงมักหาธุรกิจที่มีค่า ROE สูงกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป
.
#ข้อควรระวังในการใช้ ROE
ROE สูงอาจไม่ได้แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัท เนื่องจาก ROE ขึ้นอยู่กับ กำไรสุทธิ (net profit) ที่สูง และส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) ที่ต่ำ
.
นอกจากนี้ ควรดูว่าบริษัทมีผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอ หากบางปีบริษัทมีกำไรจากการขายสินทรัพย์ของบริษัทออกไป อาจทำให้ค่า ROE สูงผิดปกติในปีนั้น และค่า ROE ที่สูงผิดปกติก็อาจมาจากกรณีที่บริษัทก่อหนี้สินจำนวนมาก แปลว่าบริษัทต้องรับความเสี่ยงทางด้านการเงินมากขึ้นตาม
Reference:
https://knowledge.bualuang.co.th/knowledge-base/return-on-equity/