ความเชื่อเรื่องโชคดวงกับธุรกิจเคยเป็นอะไรที่ห่างไกลกันราวฟ้ากับเหว แต่ในปัจจุบันแยกจากกันแทบไม่ได้แล้ว และใครที่สามารถนำความเชื่อเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของตัวเองได้ ก็อาจสร้างโอกาสที่มากกว่า ในงาน MITCON2024 (Marketing Insight & Technology Conference 2024) เมื่อวันที่ 19-20 กันยายน ที่ผ่านมา คุณภัทฒ อัครธนันกานต์ ผู้ก่อตั้ง Sereniques ก็ได้เผยแนวทางการทำการตลาดสายมูในเซสชั่น “Integrating Muketing into Marketing”
การตลาดสายมูไม่ได้น่าสนใจแค่เพราะมันแตกต่าง แต่มูลค่าเศรษฐกิจเกี่ยวกับดวงยังสูงมากอีกด้วย มูลค่าทั่วโลกสูงกว่า 493,200 ล้านบาท และในอีก 10 ปีก็อาจเติบโตได้ถึง 1.5 ล้านล้านบาทเลย ส่วนในประเทศไทยตอนนี้ก็สูงกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นมูลค่าที่น่าจับตามอง
อย่างที่รู้กันดีว่าสังคมไทยผูกพันกับเรื่องโชค เรื่องดวง และบาปบุญมาช้านาน ตั้งแต่การเข้าวัดทำบุญ การดูดวง จนถึงไอเท็มเสริมดวงในยุคนี้ และอาจไปถึงยุคสายมูดิจิทัลในอนาคต ทำให้ 96% ของครัวเรื่อนไทยมีรายจ่ายเกี่ยวกับการทำบุญหรือดวง และคนไทยกว่า 75% หรือ 52 ล้านคนก็มีความเชื่อเรื่องดวง ถ้านับกันแค่การดูดวง ในหนึ่งปีคนไทยดูดวงกันเฉลี่ย 3 ครั้ง มีค่าใช้จ่ายครั้งละ 500 บาท ซึ่งคนรุ่นใหม่ไปดูดวงมากกว่าพบจิตแพทย์เสียอีก ด้วยเหตุผลหลัก ๆ คือ เข้าถึงง่ายกว่า
โดยทั่วไปแล้วคนไทยให้ความสนใจกับเรื่องมู 5 สายหลัก ได้แก่ ดูดวง เครื่องรางของขลัง สีมงคล เลขมงคล และเรื่องเหนือธรรมชาติ
ปกติแล้วคนเราจะเชื่อเรื่องมูด้วย 5 สาเหตุหลัก ซึ่งถ้าธุรกิจเข้าไปตอบโจทย์เพียงหนึ่งในห้านี้ได้ก็ได้ใจลูกค้าแล้ว
- ต้องการหลีกเลี่ยงปัญหา – เมื่อทำทุกอย่างที่ทำได้ในทางโลกแล้วแต่ยังไม่สาบายใจ การมูคือทางเลือกสุดท้ายที่ช่วยให้มั่นใจมากขึ้นว่าจะไม่เจออุปสรรค
- ต้องการตัวช่วยตัดสินใจ – ในบางเรื่องที่ข้อมูลทางสถิติและหลักฐานทางวิทยศาสตร์ไม่สามารถช่วยตัดสินใจได้ การมูคือสิ่งที่ทำให้กล้าที่จะเลือกมากขึ้น
- ต้องการผ่านพ้นสถานการณ์เลวร้าย – ในช่วงเวลาที่ยากลำบากการสนับสนุนทางใจถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งหลายคนก็ไปหาหมอดูด้วยเหตุผลนี้
- เพื่อความบันเทิง – แม้บางคนจะไม่ได้เชื่อเรื่องโชคเรื่องดวง แต่พวกเขาก็ยังสามารถเพลิตเพลินไปกับมันได้ในฐานะความบันเทิงรูปแบบหนึ่ง
- แสวงหาโอกาส – การผสานความอยากรู้อยากเห็น การตัดสินใจ การสนับสนุนทางอารมณ์และความบันเทิงเข้าด้วยกัน อาจช่วยให้คนเข้าใจอนาคตของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ การมูยังเข้าถึงคนทุกวัย ซึ่งความเชื่อสายมูในคนแต่ละรุ่นก็แตกต่างกันไป
Gen X – เชื่อในหวงพ่อและวัดดัง เกจิที่มีชื่อเสียง รวมถึงเจ้าแม่ต่าง ๆ กิจกรรมหลักคือสวดมนต์ ไหว้พระ ทำทานให้สบายใจ
Gen Y – เชื่อในเทพฮินดูหลากหลายองค์ ต้องการผ่านพ้นปัญหาชีวิต
Gen Z – อินกับไอเท็มเสริมดวงหลากหลายรูปแบบ เครื่องประดับ วอลเปเปอร์ อยากก้าวหน้า อยากสำเร็จ
แนวทางในการทำการตลาดสายมู
- เข้าใจความคิดลูกค้า เพิ่มยอดขายได้เกือบ 80%
ให้ความสำคัญกับ Personalize Marketing อย่างข้อมูลวันเกิดของลูกค้า นำมาต่อยอดด้วยการจำแนกคนตามธาตุของโหราศาสตร์จีนได้ เพื่อให้รู้ว่าลูกค้าเป็นคนอย่างไร แล้วทำโฆษณาหรือการสื่อสารกับลูกค้าที่เหมาะกับแต่ละคน
- ไม่ใช่แค่สินค้าอะไรก็ได้ แต่ต้องสินค้ามู
คนเราตัดสินใจซื้อด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล มาจากจิตใต้สำนึก หากเอาสินค้าฟังในจิตใต้สำนึกของลูกค้าได้ จะทำให้ลูกค้าซื้อด้วยความเชื่อมากกว่าเหตุผล อย่างเคสโทรศัพท์สายมู Muse คนจะอยากซื้อเพราะคิดว่าใช้แล้วดวงดี ก่อนจะมาคิดว่าแบบไหนสวยด้วยซ้ำ
- สร้าง Gimmu เพิ่มเหตุผลในการซื้อ
เราไม่ต้องเปลี่ยนอะไรในสินค้า แค่เพิ่มการเล่าเรื่องมูเข้าไป ก็สร้างเหตุผลในการซื้อได้ อย่างเบอร์มงคล ทิชชู่เสริมดวง ผ้าปูเตียงสีมงคล
- มูเตลู สร้างประสบการณ์ลูกค้า
การเพิ่มกิจกรรมเล็ก ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์สายมูก็สามารถดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น อย่างแบรนด์ชานม Xing Gu Tang ที่ซื้อแล้วให้ลูกค้าไปเสี่ยงเซียมซีได้ หรือการตั้งบูธในอีเวนต์ ดึงดูดคนด้วยการให้เข้ามาเขย่าเซียมซี
- Mass Mu Knowledge ช่วยเพิ่ม Engagement 3-5 เท่า
ใช้ความรู้ทั่วไปเรื่องมูที่เข้าถึงง่าย รู้กันทั่ว ไม่ซับซ้อน อย่างปีชง เลขมงคล สีมงคล วันมงคล ธุรกิจไม่จำเป็นต้องรู้ละเอียดมาก แค่เอาเรื่องเหล่านี้เบื้องต้นมาจับกับคอนเทนต์ ก็ช่วยสร้างเอนเกจเมนต์จากคนที่สนใจได้
ธุรกิจในแต่ละอุตสาหกรรมอาจทำการตลาดสายมูในรูปแบบที่แตกต่างกัน
ธุรกิจอาหาร – ตั้งชื่อเมนูมงคล วัตถุดิบมงคล
ธุรกิจท่องเที่ยว – การเล่าประวัติ สอนทำบุญ
ธุรกิจแฟชั่น – สีมงคล สีถูกโฉลก
ธุรกิจ Ecommerce -ซื้อครบดูดวงฟรี หรือแถมใบดวง
ข้อควรระวังสำคัญในการทำการตลาดสายมู คือ
*ความเชื่อความศรัทธาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องหาเซฟโซนของแบรนด์ที่จะไม่ไปลบหลู่ หรือไม่ให้เกียรติความเชื่อใคร
*ต้องไม่ทิ้งลูกค้ากลุ่มไหน สื่อสารกับทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อ จูงใจให้เปิดใจด้วยโปรโมชั่น และนำเสนออย่างสมดุล
*อย่าลืมสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ เพราะสมัยนี้คนทำการตลาดสายมูกันเยอะ
ในช่วงท้าย คุณภัทฒยังได้ให้นิยามของ Meketing ไว้ว่า เป็น มูลค่าที่มองไม่เห็น ซึ่งขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จ ต้นทุนน้อย ได้ผลมาก
ใครที่อยากเพิ่มยอดขายให้กับแบรนด์ หรือเข้าหาลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ทำให้แบรนด์เติบโตมากขึ้น ก็อาจลองนำแนวทางที่ได้ไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองดู แต่อย่าลืมที่จะศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อสื่อสารการตลาดสายมูให้เหมาะกับแบรนด์และกลุ่มลูกค้าของคุณที่สุดนะ