หากจะพูดถึงอาชีพที่เปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นมหาเศรษฐีได้ นักกีฬาคืออันดับแรก ๆ เลยครับ อย่างที่เราเห็นนักกีฬาระดับโลกหลายคนจากทุกประเภทกีฬาก้าวขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีกันด้วยทรัพย์สินหลายร้อยล้านเหรียญ ไม่ว่าจะเป็นนักฟุตบอล นักบาสเกตบอล หรือหนึ่งในประเภทนักกีฬาที่ร่ำรวยมากที่สุดอย่างนักมวย
นักมวยระดับตำนานที่ขึ้นเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จมาก ๆ มีอยู่ไม่น้อยเลย ทั้งรุ่นเก๋าอย่าง ไมก์ ไทสัน (Mike Tyson) หรือรุ่นหลังที่เพิ่งแขวนนวมไปไม่นานอย่าง แมนนี ปาเกียว (Manny Pacquiao) แต่ถ้าพูดถึงความสำเร็จเป็นตัวเลขจะไม่พูดถึงชายคนนี้ที่เป็น “นักมวยที่รวยที่สุดในโลก” ไม่ได้ นั่นคือคนที่เอาชนะปาเกียวบนสังเวียนมาแล้ว ฟลอยด์ เมย์เวเธอร์ จูเนียร์ (Floyd Mayweather Jr.)
ในวงการมวยสากลก็คงไม่มีใครไม่รู้จักฟลอยด์ เมย์เวเธอร์ ด้วยฝีมือที่เก่งกาจและสิถิติไร้พ่ายที่กว่า 50 ไฟต์ ซึ่งเกินครึ่งเป็นการชนะแบบ K.O. โดยไฟต์หยุดโลกที่เป็นที่ฮือฮาที่สุดครั้งหนึ่งคือการชกกับแมนนี ปาเกียว ซึ่งฟลอยด์ก็สามารถเอาชนะไปได้
แต่ฝีมือและชัยชนะไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้ฟลอยด์เป็นที่รู้จักและโด่งดังมาก ๆ ในวงการมวยสากล
ความอวดรวยของเขาก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้ฟลอยด์เป็นที่พูดถึงมาก ๆ ว่าเป็นนักมวยติดหรู อวดรวย และมีการใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลืองแบบเปิดเผยกันโต้ง ๆ อยู่เสมอ
ไม่ว่าจะเป็นการง้อแฟนสาวด้วยเงิน 5 ล้านเหรียญ
แทงพนันมวยเป็นหมื่นเหรียญ
ซื้อรถหรูหลายล้านเหรียญ
หรือแม้แต่ซื้อเครื่องบินส่วนตัว
ใช้ชีวิตติดหรูและมักชอบถ่ายรูปคู่กับเงินเป็นฟ่อนอยู่เสมอ ถึงขนาดได้รับฉายาสุดกวนอย่าง “The Money” ซึ่งก็มีทั้งคนชอบและคนหมั่นไส้จำนวนมาก ถึงขนาดออกมาสบประมาทกันว่า “สักวันฟลอยด์ได้ถังแตกแน่”
แต่ว่านั่นคือสิ่งที่ฟลอยด์ยืนยันว่า “ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน”
บทเรียนเรื่องนักกีฬาถังแตกมีให้เห็นกันอยู่ไม่น้อย แม้แต่กับนักมวยเบอร์ใหญ่ระดับตำนานอย่างไมก์ ไทสันที่เคยหนี้ท่วมจนล้มละลายมาแล้ว ด้วยรูปแบบรายรับที่ไม่ได้มีรายเดือน รายรับประจำ แต่เป็นการรับก้อนใหญ่ ๆ ในแต่ละไฟต์ ทำให้วินัยทางการเงินเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก
ต่างกับนักกีฬาที่เล่นประเภททีมหรือแข่งเป็นทัวร์นาเมนต์ นอกจากนี้มักไม่ค่อยได้รับการอบรมเรื่องการบริหารเงินอย่างจริงจังด้วย และนักมวยส่วนใหญ่เติบโตมาจากพื้นเพที่ยากลำบาก ทำให้อำนาจในการใช้จ่ายก็อาจกลายเป็นพิษได้
เพราะเมื่อคนไม่เคยมีได้จับมัน ก็ง่ายที่จะใช้อย่างไม่คิดจนหายวับไปในที่สุด นอกจากนี้แม้จะมีนักมวยบางคนที่อยากจะนำเงินไปลงทุนต่อยอด แต่เมื่อขาดความรู้ความเชี่ยวชาญในแวดวงธุรกิจ ก็เจ๊งยับกันได้ง่าย ๆ แต่ทำไมนี่จึงเป็นสิ่งที่ฟลอยด์มั่นใจว่ามันจะไม่มีทางเกิดขึ้นกับเขา
ฟลอยด์ เมย์เวเธอร์ จูเนียร์ คือ ยอดนักสู้คนหนึ่งที่เติบโตมาจากครอบครัวที่ยากลำบาก เต็มไปด้วยความรุนแรง และยาเสพติด แต่ถึงกระนั้น สายเลือดนักมวยที่ส่งต่อมาตั้งแต่ผู้เป็นปู่และพ่อ ก็ทำให้เขาถีบตัวเองขึ้นมาได้ คว้าแชมป์กำปั้นทอง Gloden Gloves ได้ตั้งแต่ปี 1993 และครองแชมป์ยาว 3 ปีซ้อน จนติดทีมชาติโอลิมปิกในปี 1996 และเผชิญกับความพ่ายแพ้ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขา หลังจากนั้นก็พัฒนาตัวเองจนคว้าแชมป์โลกทั้ง IBF, IBO, WBC และ IBA หลายครั้ง ทั้งในรุ่น Super welterweight, Welterweight, Lightweight และ Super lightweight นอกจากนี้ก็เอาชนะนักชกแถวหน้าหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็น แซบ จูดาห์ แมนนี่ ปาเกียว หรือแม้แต่นักสู้ MMA ตัวตึงอย่าง คอร์เนอร์ แม็คเกรเกอร์ (Conor Mcgregor)
ค่าตัวของฟลอยด์และมูลค่าการชกของเขาพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเคยมีการประเมิณว่าเฉลี่ยต่อไฟต์ได้มากถึง 50 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ในความเป็นจริงไฟต์หลักร้อยล้านก็มีมาแล้ว มีการประเมิณเบื้องต้นว่าฟลอยด์มีมูลค่าทรัพย์สินทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 450 ล้านเหรียญสหรัฐเลย และมีรายได้รวมจากทั้งในและนอกวงการมวยทั้งสิ้นกว่าพันล้านเหรียญ หาเงินได้ขนาดนี้น่ะไม่แปลหรอก แต่ฟลอยด์บริหารจัดการเงินอย่างไรถึงยังอวดรวยได้ทุกวี่วันและไม่มีทีท่าว่าจะหมดตัวเลย
นั่นเพราะฟลอยด์ไม่ได้แค่ใช้เงินเก่ง แต่เขายังเป็นคนที่รู้ว่าต้องใช้เงินอย่างไร ฟลอยด์เคยให้สัมภาษณ์ว่าเวลาเขาพบปะกับเพื่อมหาเศรษฐีเขาไม่ได้แค่ชื่นชมความชีวิตที่แสนหรูหรา รถ บ้าน และข้าวของต่าง ๆ แต่เขาถามขอคำแนะนำว่าเขาจะหาสิ่งเหล่านั้นมาได้อย่างไร เพราะคุณสามารถร่ำรวยได้ แต่ความมั่งคั่งนั้นคือสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมา ฟลอยด์รับฟังและปรับใช้ เขาเรียนรู้ที่จะทำงานให้ฉลาดขึ้น ไม่ใช่หนักขึ้น เพื่อที่จะไม่ต้องคอยชกต่อไปอีกหลายสิบปี ซึ่งนั่นทำให้เขาหันมาเป็นนักลงทุนที่จริงจัง
ฟลอย์กลายมาเป็นโปรโมเตอร์ให้ตัวเองและนักชกคนอื่นภายใต้ Mayweather Promotions ตลอดเวลาเขารู้ตัวดีว่าต้องสร้างมูลค่าให้การชกอย่างไร ฝีปากและท่าทียียวนของฟลอยด์ถูกแสดงออกมาเพราะในท้ายที่สุดมันจะตอบแทนเขาเป็นตัวเลขที่สูงลิ่วหลักร้อยล้านต่อไฟต์ แต่นอกจากนี้ฟลอยด์ไม่ได้หยุดตัวเองเอาไว้แค่ความสำเร็จบนสังเวียนและวงการกำปั้น
สำหรับฟลอยด์ เขาจะลงทุนในสิ่งที่เขาเชื่อเท่านั้น และเขายึดมั่นมันอย่างแน่วแน่ ฟลอยด์ลงทุนในหลากหลายสิ่งที่เขาชื่นชอบและทุ่มเท กับอะไรที่เป็นตัวเขาที่สุด
ฟลอยด์เปิด Mayweather Boxing + Fitness ให้บริการยิมสำหรับซ้อมมวยและออกกำลัง ซึ่งได้รับความนิยมสูง มีผลตอบรับที่ดีมาก
และยังต่อยอดความชอบด้วย The Money Team Racing ทีมแข่ง Nascar จากความหลงใหลในความเร็วของฟลอยด์
ยังมี Skate Rock City ลานเสก็ตที่ฟลอยด์ซื้อต่อและเอามาปรับปรุง
และความชื่นชอบในปาร์ตี้ขั้นสุดก็ขับเคลื่อนให้ฟลอยด์ก่อตั้งคลับเต้นเปลื้องผ้าอย่าง Girl Collection ในลาสเวกัส
นอกจากนี้เองฟลอยด์ยังเป็นเจ้าพ่อแฟชัน ทำให้สร้าง The Money Team Clothing แบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองด้วย
มากกว่านั้นฟลอยด์เองยังลงทุนในอสังหามากมายที่เขาเชื่อว่าเป็นสิ่งที่จะทำรายได้ให้เขาได้แม้จะหลับอยู่ก็ตาม โดยเป็นตัวเลือกแรกที่ฟลอยด์จะยอมเอาเงินไปทุ่มให้ ซึ่งขณะนี้กำลังก่อสร้างตึกระฟ้าแห่งที่ 10 ของเขาแล้ว
ฟลอยด์มักจะหาตัวเลือกเพื่อกระจายความเสี่ยงอยู่เสมอ นั่นคือเหตุผลที่เขาลงทุนในหลากหลายสิ่ง แต่สำหรับเขาแล้วหากรู้ตัวว่าสิ่งไหนที่เขารู้จักมันดี และมันชัดเจนมากพอเขาก็จะทุ่มสุดตัวให้มัน นอกจากนี้ฟลอยด์รู้ดีว่าจะใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของตัวเองอย่างไร ซึ่งมันเป็นเครื่องมือต่อรองชั้นดีในธุรกิจของเขา และเขาเองยังเจรจาปิดทุกดีลด้วยตัวเองไม่ว่าเล็กหรือใหญ่
จากทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า เหตุผลที่ฟลอยด์ยังใช้ชีวิตอย่างหรูหราได้และไม่มีทางจะหมดตัว ก็เพราะวิญญาณนักสู้นอกสังเวียนที่ทำให้เขาขวนขวายสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองได้ผ่านการลงทุนอย่างชาญฉลาดของเขา ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่เขารู้จักมันดีที่สุด
และนั่นทำให้เขาคู่ควรกับฉายา The Money ไม่ใช่แค่เพราะเขามีและใช้มัน แต่เพราะเขาสร้างมันได้มหาศาลต่างหาก