บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO ประกาศผลประกอบการประจำปี 2567 สร้างสถิติใหม่ด้วยยอดขาย 10,062 ล้านบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดขายภายในประเทศเติบโต 10.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังสามารถสร้างผลกำไรส่วนของบริษัทได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,008 ล้านบาท เติบโต 21.4% YoY นับเป็นการทำอัตรากำไรระดับเลขสองหลักครั้งแรกที่ 10.0%
สะท้อนความสำเร็จจากกลยุทธ์ “Segment Creator” และ “Innovation-led Premiumization” ที่มุ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค จากการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมที่ล้ำสมัยตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าพรีเมียมที่เติบโตตามคาด บอร์ดเสนอจ่ายปันผล 1.35 บาทต่อหุ้น ขึ้น XD วันที่ 30 เมษายน 2568
นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปี 2567 นับเป็นปีแห่งความสำเร็จครั้งสำคัญของนีโอ คอร์ปอเรท นอกจากการพาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ บริษัทยังสามารถสร้างยอดขายภายในประเทศเติบโต 10.5% YoY แซงหน้าอัตราการเติบโตของ GDP ไทย
สามารถทำกำไรส่วนของบริษัท 1,008 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.4% จากปีก่อนหน้า ด้วยผลกำไรที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์และสร้างอัตรากำไรสองหลักได้เป็นครั้งแรก นับเป็นบทพิสูจน์ความแข็งแกร่งของกลยุทธ์ “Innovation-led Premiumization” ที่มุ่งเน้นนวัตกรรมของทางบริษัท
โดยในปี 2568 บริษัทมุ่งมั่นที่จะต่อยอดความสำเร็จนี้ด้วยการรุกตลาดกลุ่มใหม่ ๆ ให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์และทุกช่วงวัยมากขึ้น ด้วยกลยุทธ์ “Segment Creator” พร้อมนำเสนอนวัตกรรมสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกช่วงวัยและทุกมิติ”
ผลประกอบการกลุ่มของใช้ส่วนบุคคลเติบโตโดดเด่น พร้อมรุกตลาดใหม่ Silver Age และ Pet Parent ในปี 2567 ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจหลักทั้งสามกลุ่มของ NEO ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก ทั้ง 8 แบรนด์ ล้วนมีการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล เช่นเดียวกับกลุ่มสินค้าพรีเมียมที่มีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น บรรลุเป้าหมายสัดส่วนยอดขายที่ 5%
นอกจากนั้น ยังเล็งเห็นโอกาสในการเติบโตในกลุ่มตลาดใหม่ ๆ ที่บริษัทเป็นผู้บุกเบิก ได้แก่ กลุ่ม Silver Age นวัตกรรมการกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ของผู้สูงวัย ภายใต้แบรนด์ ดีนี่ ดีลักซ์ และกลุ่ม Pet Parent ที่เป็นผลิตภัณฑ์แบบ Pet Friendly สำหรับผู้ที่มีสัตว์เลี้ยงในที่อยู่อาศัย ซึ่งบริษัทฯ ได้เตรียมแผนงานและสินค้าเพื่อเจาะกลุ่มตลาดเหล่านี้อย่างจริงจังในปี 2568
ในปีที่ผ่านมา ช่องทางจัดจำหน่ายของ NEO มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สามารถขยายร้านค้าช่องทางร้านค้าปลีกดั้งเดิมได้มากกว่า 30% จากเป้า 20% ปัจจุบันมีช่องทางการจัดจำหน่ายกว่า 28,000 ร้านค้า ขณะที่ช่องทางออนไลน์เติบโตมากกว่า 10% จากปีก่อนหน้า พร้อมผลักดันกิจกรรมส่งเสริมการตลาดออนไลน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มการเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยในปี 2568 บริษัทมีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ไม่น้อยกว่า 100 SKUs โดยเน้นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์สอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภค พร้อมก้าวสู่การเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย
สร้างสรรค์อนาคตยั่งยืนด้วยหลักการ ESG
NEO มุ่งมั่นดำเนินงานตามแนวทาง ESG Corporate Goal เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่กำหนดไว้ โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา สามารถบรรลุผลลัพธ์สำคัญในหลายด้าน เช่น เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดถึง 22% พัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมถึง 36% ใช้พลาสติกที่ผ่านการใช้งานแล้วถึง 30%
“NEO ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของยอดขายต่อปีแบบทบต้นเฉลี่ย 5 ปี (CAGR) ตั้งแต่ปี 2566-2571 ด้วยตัวเลขสองหลัก หรือ 10-15% โดยปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือการมุ่งขยายพอร์ตผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ และตลาดที่มีศักยภาพ หรือ “Segment Creator” ควบคู่ไปกับการดำเนินกลยุทธ์ “Innovation-led Premiumization” ที่มุ่งมั่นคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมที่ล้ำสมัย และสร้างประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายให้กับผู้บริโภค
โดยเชื่อว่าตลาด FMCG ในประเทศไทยปี 2568 ยังมีศักยภาพแข็งแกร่ง แม้เผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจและการแข่งขันที่รุนแรง เพราะเราไม่ได้เพียงแค่มุ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค แต่เรามั่นใจว่าด้วยการปรับตัวที่รวดเร็ว การตัดสินใจที่คล่องตัว และ Market Insight ที่แข็งแกร่ง NEO จะสามารถสร้างการเติบโตในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง” นายสุทธิเดช กล่าวสรุป
ในวันเดียวกันนี้ บริษัทแจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 พิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นบริษัทในอัตรา 1.35 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XM ในวันที่ 11 มีนาคม 2568 ตามด้วยเครื่องหมาย XD ในวันที่ 30 เมษายน 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 พฤษภาคม 2568